พรีเมียร์ลีก ลีกฟุตบอลที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลกลีกหนึ่งก็คือ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก
โดยเป็นแรงบันดาลใจและจุดศูนย์รวมอารมณ์ความรู้สึกของแฟนบอลทั่วโลก ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน ประเทศใด มีเชื้อชาติอะไร ทุกคนต่างเข้าใจภาษาเดียวกันที่เรียกว่า ภาษาของฟุตบอล
พรีเมียร์ลีกอังกฤษ กับการติดตามชมการแข่งขันจากลีกที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกแห่งนี้
ดังนั้น ในบทความนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ลีกฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระดับโลกแห่งนี้กันให้มากขึ้น
เลือกอ่านหัวข้อที่ต้องการ
พรีเมียร์ลีกอังกฤษ
พรีเมียร์ลีก หรือที่มักเรียกกันว่า พรีเมียร์ลีกอังกฤษ (EPL: English Premier League) เป็นลีกฟุตบอลระดับสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งมีทีมที่เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 20 สโมสร มีระบบการแข่งขันแบบเลื่อนชั้น/ตกชั้น โดยระยะเวลาในการแข่งขันจะเริ่มฤดูกาลตั้งแต่ เดือนสิงหาคม ไปจนถึง เดือนพฤษภาคม


พรีเมียร์ลีก แข่งกี่นัด
แต่ละทีมจะมีการแข่งขันแบบพบกันหมดรวมทั้งหมด 38 นัด ทั้งแบบทีมเหย้าและทีมเยือน เกมฟุตบอลส่วนใหญ่จะแข่งกันในบ่ายวันเสาร์และวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดอีกทั้งแฟนบอลจะได้เข้าไปร่วมรับชมได้อย่างสะดวก

พรีเมียร์ลีกมีจุดกำเนิดมาจากการก่อตั้งขึ้นในฐานะ FA Premier League เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1992 โดยเกิดจากการตัดสินใจของสโมสรในดิวิชั่น 1 ที่ต้องการแยกตัวออกมาจากฟุตบอลลีกที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ใน ค.ศ. 1888

ผู้บริหารและผู้ถือประโยชน์ของพรีเมียร์ลีก คือ Richard Masters ซึ่งเขาจะทำหน้าที่ในการบริหารจัดการ ในขณะที่สโมสรของสมาชิกจะเป็นผู้ถือหุ้น โดยรายได้ของพรีเมียร์ลีกมาจากการขายลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดให้กับสถานีโทรทัศน์ Sky
ซึ่งในปี ค.ศ. 2019-2020 ค่าลิขสิทธิ์ของพรีเมียร์ลีกมีมูลค่าสูงถึง 3.1 พันล้านปอนด์ต่อปี

โดยทาง Sky และ BT Group คือผู้ถือลิขสิทธิ์นี้ ซึ่งจะมีสิทธิในการถ่ายทอดสดเกมฟุตบอล 128 และ 32 เกมตามลำดับ โดยสโมสรฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกก็จะได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ส่วนนี้ด้วย

พรีเมียร์ลีก เป็นลีกกีฬาที่มีคนดูมากที่สุดในโลก มีผู้รับชมการแข่งขันทางโทรทัศน์ถึง 4.7 พันล้านคนใน 643 ล้านครัวเรือนจากดินแดนต่างๆ ทั่วโลก
เพียงแค่ในฤดูกาล 2018-2019 นั้น มีจำนวนผู้เข้าชมเกมแต่ละเกมเฉลี่ยอยู่ที่ 38,181 คน รองลงมาจากเกมในบุนเดสลีกาที่มีผู้เข้าชมแต่ละเกมเฉลี่ย 43,500 คน
ในขณะที่จำนวนการเข้าร่วมชมการแข่งขันในทุกแมตช์นั้นสูงที่สุดในบรรดาลีกฟุตบอลทุกลีก โดยมีจำนวนอยู่ที่ 14,508,981 คน
พรีเมียร์ลีกนั้นได้ชื่อว่าเป็นลีกคุณภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยพิจารณาจากผลงานในการแข่งขันระดับยุโรปตลอด 5 ฤดูกาลที่ผ่านมา
ในปี ค.ศ. 2021 ทีมจากพรีเมียร์ลีกสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก/ยูโรเปียนคัพได้มากเป็นอันดับ 2 และสโมสรฟุตบอลจากอังกฤษสามารถครองแชมป์ยุโรปโดยคว้าถ้วยมาครองได้ถึง 14 ถ้วยด้วยกัน
ชื่อฉายาและที่มาของทุกทีมในพรีเมียร์ลีก
ฉายาพรีเมียร์ลีก
Premier League Football Club Nicknames
ชื่อทีม | ฉายา |
Arsenal | The Gunners |
Aston Villa | The Villans, The Villa, Villa |
Brentford | The Bees, The Reds |
Brighton & Hove Albion | The Seagulls, The Albion |
Burnley FC | The Clarets |
Chelsea | The Blues, The Pensioners |
Crystal Palace | The Eagles, The Glaziers |
Everton | The Blues, The Toffees, The People’s Club |
Leeds United | The Whites, United, The Peacocks |
Leicester City | The Foxes |
Liverpool | The Reds |
Manchester City | The Citizens, City, The Sky Blues |
Manchester United | The Red Devils |
Newcastle United | The Magpies, Geordies |
Norwich City | The Canaries, Yellows |
Southampton | The Saints |
Watford | The Hornets, The Golden Boys, Yellow Army, The ‘Orns |
West Ham United | The Irons, The Hammers, The Academy Of Football |
Wolverhampton Wanderers | Wolves, The Wanderers |
ทําเนียบแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
ฤดูกาล | ทีมแชมป์ (ครั้งที่#) |
1992–93 | Manchester United (8) |
1993–94 | Manchester United (9) |
1994–95 | Blackburn Rovers (3) |
1995–96 | Manchester United (10) |
1996–97 | Manchester United (11) |
1997–98 | Arsenal (11) |
1998–99 | Manchester United (12) |
1999–2000 | Manchester United (13) |
2000–01 | Manchester United (14) |
2001–02 | Arsenal (12) |
2002–03 | Manchester United (15) |
2003–04 | Arsenal (13) |
2004–05 | Chelsea (2) |
2005–06 | Chelsea (3) |
2006–07 | Manchester United (16) |
2007–08 | Manchester United (17) |
2008–09 | Manchester United (18) |
2009–10 | Chelsea (4) |
2010–11 | Manchester United (19) |
2011–12 | Manchester City (3) |
2012–13 | Manchester United (20) |
2013–14 | Manchester City (4) |
2014–15 | Chelsea (5) |
2015–16 | Leicester City |
2016–17 | Chelsea (6) |
2017–18 | Manchester City (5) |
2018–19 | Manchester City (6) |
2019–20 | Liverpool (19) |
2020–21 | Manchester City (7) |
2021–22 | Manchester City (8) |
ประวัติ พรีเมียร์ลีก
จุดเริ่มต้นของพรีเมียร์ลีกหลังจุดต่ำสุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ – ฟุตบอลอังกฤษประสบความสำเร็จอย่างมากในยุโรปในช่วงทศวรรษที่ 1970 และต้นทศวรรษที่ 1980
โศกนาฏกรรมเฮย์เซล (Heysel Stadium disaster)
เมื่อมาถึงช่วงปลายของทศวรรษ 1980 บอลอังกฤษก็ก้าวมาถึงจุดตกต่ำที่สุด ภายหลังโศกนาฏกรรมที่สนามเฮย์เซล สเตเดียม ในกรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยียม (29 พฤษภาคม ค.ศ. 1985) ที่เป็นแมตช์ระหว่างลิเวอร์พูล ทีมฟุตบอลจากอังกฤษและยูเวนตุส จากอิตาลี

ในระหว่างการแข่งขันเกิดเหตุจลาจลจากแฟนบอลของทั้งสองทีม และท้ายที่สุดก็เกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อกำแพงอัฒจันทน์ได้ถล่มลงมาจนทำให้มีแฟนบอลเสียชีวิตเป็นจำนวนกว่า 39 คน รวมทั้งมีผู้บาดเจ็บถึงกว่า 600 คนเลยทีเดียว

หลังเกม ยูเวนตุส สามารถเอาชนะลิเวอร์พูลไปได้ 1-0 จากการยิงลูกโทษของพลาตินี่ ซึ่งนอกเหนือจากความเจ็บช้ำจากความพ่ายแพ้แล้ว สิ่งที่ยิ่งซ้ำเติมให้สถานการณ์ของบอลอังกฤษยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
เมื่อมีรายงานจาก BBC ระบุว่า ต้นเหตุของการจลาจลเกิดจากแฟนบอลลิเวอร์พูล ซึ่งส่งผลให้ทีมฟุตบอลจากอังกฤษโดนแบนทันที พร้อมด้วยบทลงโทษห้ามเดินทางออกไปแข่งฟุตบอลนอกยุโรปเป็นเวลา 5 ปี
ในขณะที่แฟนบอลลิเวอร์พูลถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตายเป็นจำนวน 10 คน ซึ่งถูกลงโทษด้วยการจำคุกเป็นเวลา 3 ปี

ผลจากโศกนาฏกรรมเฮย์เซล ทำให้วงการฟุตบอลของอังกฤษเริ่มดำดิ่งเข้าสู่ความตกต่ำทันที รายได้จากการขายตั๋วและลิขสิทธิ์ต่างๆ หดหาย ผู้เล่นที่มีชื่อเสียงย้ายออกไปเล่นที่ต่างประเทศ
ทำให้สโมสรฟุตบอลใหญ่ๆ ของอังกฤษเริ่มขยับหาทางรอดด้วยการแปรสภาพสโมสรให้กลายเป็นธุรกิจร่วมทุน โดย Martin Edwards จากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, Irving Scholar จากท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ และ David Dein จากอาร์เซนอล คือผู้นำในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
ซึ่งในช่วงเวลานั้นสโมสรในดิวิชั่น 1 ก็เริ่มขู่ว่าจะแยกตัวออกจากจากฟุตบอลลีก จึงทำให้ทั้งสามสามารถเพิ่มอำนาจในการต่อรองได้มากขึ้น
โดยการเสนอผลตอบแทนจากสถานีโทรทัศน์และผู้สนับสนุนต่างๆ เป็นจำนวนถึง 50 % ทำให้รายรับของสโมสรในดิวิชั่น 1 เดิมที่เคยได้เพียงปีละ 25,000 ปอนด์เพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ปอนด์ต่อปี ทำให้สโมสรฟุตบอลชั้นนำ 10 แห่งที่มีความตั้งใจที่จะแยกตัวออกไปสร้างซูเปอร์ลีกเปลี่ยนใจที่จะอยู่ต่อ
FA Premier League
เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 1990-1991 มีการเสนอจัดตั้งลีกใหม่ที่จะทำให้สโมสรต่างๆ มีรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยสโมสรชั้นนำได้มีการทำข้อตกลง Founder Members Agreement ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1991
ที่เนื้อหาหลักเป็นการกำหนดหลักการพื้นฐานสำหรับการจัดตั้ง FA Premier League ดิวิชั่นสูงสุดใหม่ที่ตั้งใจจะให้เป็นลีกที่อิสระจาก FA และฟุตบอลลีก

จากนั้น FA Premier League ก็ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในฐานะบริษัทจำกัด ในวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1992 และมีสโมสรฟุตบอลที่เข้าร่วมทั้งหมด 22 สโมสร ดังต่อไปนี้
1. อาร์เซน่อล
2. แอสตัน วิลล่า
3. แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส
4. เชลซี
5. โคเวนทรี ซิตี้
6. คริสตัล พาเลซ
7. เอฟเวอร์ตัน
8. อิปสวิช ทาวน์
9. ลีดส์ ยูไนเต็ด
10. ลิเวอร์พูล
11. แมนเชสเตอร์ซิตี้
13. มิดเดิลสโบร
14. นอริช ซิตี้
15. น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์
16. โอลด์แฮม แอธเลติก
17. ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส
18. เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
19. เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์
20. เซาแธมป์ตัน
21. ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
22. วิมเบิลดัน
การจัดตั้งพรีเมียร์ลีกขึ้นมาในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการล่มสลายของฟุตบอลลีกที่มีระยะเวลาดำเนินการมาอย่างยาวนานถึง 104 ปี
ในตอนนี้ พรีเมียร์ลีกจะถือว่าเป็นลีกบอลอาชีพสูงสุดของอังกฤษ และมีลีกรองลงไปอีก 3 ระดับเรียงตามกันไป แต่รูปแบบการแข่งขันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยังคงมีการเลื่อนชั้นและตกชั้นเช่นเดิม

พรีเมียร์ลีกเริ่มเตะในฤดูกาลแรกเมื่อปี 1992-93 มีทีมที่เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 22 ทีม ก่อนที่ต่อมาจะลดลงเหลือเพียง 20 ทีมในช่วงฤดูกาล 1995-96
ประตูแรกของพรีเมียร์ลีกมาจาก Brian Deane จากเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ในเกมที่พบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งเชฟฟิลด์สามารถเอาชนะไปได้ 2-1
โลโก้พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ประวัติความเป็นมา

รูปแบบการแข่งขันของพรีเมียร์ลีก
กติกา พรีเมียร์ลีก – ระบบการแข่งขันในพรีเมียร์ลีกนั้น ประกอบไปด้วยทีมที่เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 20 สโมสร โดยมีระยะเวลาในการเปิดฤดูกาลแข่งขันตั้งแต่ เดือนสิงหาคม ไปจนถึง เดือนพฤษภาคม
ซึ่งแต่ละสโมสรจะแข่งกันแบบพบกันหมดโดยจะมีการพบกันทีมละ 2 ครั้งในแบบทีมเหย้ากับทีมเยือน รวมเป็นทั้งหมด 38 เกม
ทีมที่ชนะจะได้รับคะแนน 3 แต้ม หากเสมอจะได้ทีมละ 1 แต้ม แต่หากแพ้จะไม่ได้คะแนนเลยสักแต้ม
จากนั้นก็จะมีการนำคะแนนที่ได้มาจัดอันดับในการแข่งขัน ทีมที่ได้คะแนนมากที่สุดก็จะคว้าแชมป์ไป
พรีเมียร์ลีก ตกชั้นกี่ทีม – ทีมที่ได้คะแนนต่ำสุด 3 อันดับท้ายตารางก็จะตกชั้นลงไปเล่นในลีกรองลงไป
หากมีทีมที่คะแนนเท่ากันจะมีการพิจารณาผลต่างของประตู (GD; Goal difference ผลต่างประตูได้-เสีย) เพื่อทำการจัดอันดับทีมอีกครั้งหนึ่ง
การตกชั้นและการเลื่อนชั้นขึ้นมาของลีกรอง
ระบบการเลื่อนชั้นของ EFL Championship ซึ่งเป็นลีกอันดับ 2 รองจากพรีเมียร์ลีกนั้น จะสัมพันธ์กับการตกชั้นของ 3 ทีมท้ายตารางของพรีเมียร์ลีก
โดยทีมที่ได้คะแนนต่ำสุด 3 อันดับจากท้ายตารางของพรีเมียร์ลีกจะตกชั้นลงไปเล่นในแชมเปี้ยนชิพ ส่วนสองทีมแรกของแชมเปี้ยนชิพที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกโดยอัตโนมัติ
ในขณะที่ทีมในอันดับ 3 ถึง 6 จะต้องไปเล่นเพลย์ออฟกัน เพื่อให้ได้โอกาสเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกอีก 1 ทีม
รางวัลของผู้ชนะในพรีเมียร์ลีก
ถ้วยรางวัล พรีเมียร์ลีก
ถ้วยพรีเมียร์ลีกอังกฤษ (Premier League Trophy) จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ใบ ประกอบด้วยถ้วยรางวัลของแท้ที่จะตกเป็นของแชมป์ในฤดูกาลนั้น กับ ถ้วย พรีเมียร์ลีก จำลอง
ซึ่งเหตุผลที่ต้องมีการจัดเตรียมถ้วยรางวัลเอาไว้ 2 ถ้วย ก็เพื่อจุดประสงค์ในการให้รางวัลภายในไม่กี่นาทีหลังจากที่ได้รับตำแหน่งแชมป์

ถ้วยรางวัลฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ปัจจุบันถูกสร้างขึ้นโดย Royal Jewellers Asprey of London ที่ประกอบด้วยถ้วยรางวัลพร้อมมงกุฎทองคำ และฐานหินมาลาไคต์ น้ำหนักรวม 25.4 กิโลกรัม (เฉพาะฐาน หนัก 15.9 กิโลกรัม, เฉพาะตัวถ้วยรางวัล หนัก 9.5 กิโลกรัม)

ถ้วยรางวัลและฐานมีความสูง 104 เซนติเมตร (3 ฟุต 5 นิ้ว), กว้าง 61 เซนติเมตร (2 ฟุต) โดยตัวบอดี้หลักของถ้วยรางวัลเป็นเงินแท้และปิดทอง ส่วนฐานของถ้วยเป็นหินมาลาไคต์ (malachite จากแอฟริกา) ที่มีสีเขียวที่เป็นสัญลักษณ์ของสนามหญ้า

การออกแบบถ้วยรางวัลมีที่มาจากตราสัญลักษณ์ของ Three Lions ที่เป็นสัญลักษณ์ของฟุตบอลอังกฤษ ประกอบด้วยสิงโตสองตัวเหนือด้ามจับที่ทั้งสองด้านของถ้วยรางวัล
สำหรับสิงโตตัวที่ 3 จะแทนด้วยกัปตันทีมที่คว้าแชมป์ที่จะอยู่ในอิริยาบถชูถ้วยรางวัลและมงกุฎทองคำเหนือหัว เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล
ริบบิ้นที่ผูกบริเวณหูจับของถ้วยนั้น จะเป็นสีประจำทีมของแชมป์ลีกในปีนั้น

ถ้วยทอง พรีเมียร์ลีก
โดยที่ผ่านมาจะมีถ้วยรางวัลพิเศษที่เคยมอบให้กับอาร์เซนอลที่เป็นถ้วยรางวัลรุ่นพิเศษสีทอง (ถ้วยทอง พรีเมียร์ลีก, ถ้วยไร้พ่าย พรีเมียร์ลีก) เพราะสโมสรสามารถคว้าแชมป์ได้โดยไม่พ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว (Invincible Arsenal)


บทความน่าสนใจ: อาร์เซน่อล ไร้พ่าย
นอกเหนือจากถ้วยรางวัลของผู้ชนะและเหรียญรางวัลของผู้ชนะแต่ละราย ที่มอบให้แก่ผู้เล่นที่คว้าแชมป์รายการดังกล่าวแล้ว พรีเมียร์ลีกยังมีการมอบรางวัลอื่นๆ ตลอดทั้งฤดูกาลอีกด้วย
อย่างรางวัลแมนออฟเดอะแมตช์ (man-of-the-match award) ที่จะมอบให้กับนักเตะที่มีบทบาทมากที่สุดในแต่ละนัด
รางวัลรายเดือนสำหรับ ผู้จัดการทีมประจำเดือน (Premier League Manager of the Month), ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือน (Premier League Player of the Month), และ ประตูยอดเยี่ยมประจำเดือน (Premier League Goal of the Month) อีกด้วย
และเมื่อครบปี ก็จะมีการมอบรางวัล ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล (Premier League Manager of the Season), รางวัลประตูยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล (Premier League Goal of the Season),
นักเตะยอดเยี่ยม พรีเมียร์ลีก
ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล (Premier League Player of the Season)

และ รางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล (Premier League Young Player of the Season) มอบให้กับผู้เล่น U-23 ที่โดดเด่นที่สุด โดยเริ่มตั้งแต่ฤดูกาล 2019–20 เป็นต้นมา
ดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก
รางวัลรองเท้าทองคำ – รองเท้าทองคํา พรีเมียร์ลีก (Premier League Golden Boot) มอบให้แก่ผู้ทำประตูสูงสุดของทุกฤดูกาล

ฤดูกาล | นักเตะ (จำนวนประตู) |
1992-93 | Teddy Sheringham (22) |
1993-94 | Andrew Cole (34) |
1994-95 | Alan Shearer (34) |
1995-96 | Alan Shearer (31) |
1996-97 | Alan Shearer (25) |
1997-98 | Dion Dublin, Michael Owen, Chris Sutton (18) |
1998-99 | Michael Owen, Dwight Yorke, Jimmy Floyd Hasselbaink (18) |
1999-00 | Kevin Phillips (30) |
2000-01 | Jimmy Floyd Hasselbaink (23) |
2001-02 | Thierry Henry (24) |
2002-03 | Ruud van Nistelrooy (25) |
2003-04 | Thierry Henry (30) |
2004-05 | Thierry Henry (25) |
2005-06 | Thierry Henry (26) |
2006-07 | Didier Drogba (20) |
2007-08 | Cristiano Ronaldo (31) |
2008-09 | Nicolas Anelka (19) |
2009-10 | Didier Drogba (29) |
2010-11 | Carlos Tevez, Dimitar Berbatov (20) |
2011-12 | Robin van Persie (30) |
2012-13 | Robin van Persie (26) |
2013-14 | Luis Suarez (31) |
2014-15 | Sergio Aguero (26) |
2015-16 | Harry Kane (25) |
2016-17 | Harry Kane (29) |
2017-18 | Mohamed Salah (32) |
2018-19 | Sadio Mane, Mohamed Salah (22) |
2019-20 | Jamie Vardy (23) |
2020-21 | Harry Kane (23) |
2021-22 | Mohamed Salah, Son Heung-min (23) |
10 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ

ถุงมือทองคํา พรีเมียร์ลีก
รางวัลถุงมือทองคำ (Premier League Golden Glove) มอบให้แก่ผู้รักษาประตูที่ได้คลีนชีต (clean sheets) มากที่สุด เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล
9 ฤดูกาลที่ผ่านมา ใครคว้าถุงมือทองคำพรีเมียร์ลีกบ้าง?
.
ผู้รักษาประตูที่เคยคว้ารางวัลถุงมือทองคำของพรีเมียร์ลีก
แอสซิสต์พรีเมียร์ลีก
แอสซิสต์ พรีเมียร์ลีก คือ – รางวัล Premier League Playmaker of the Season Award มอบให้กับผู้เล่นที่ทำแอสซิสต์ได้มากที่สุดในแต่ละฤดูกาล โดยรางวัลนี้เริ่มครั้งแรกในฤดูกาล 2017-18
ฤดูกาล | นักเตะ | สโมสร | แอสซิสต์ |
2021-22 | โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ | ลิเวอร์พูล | 13 |
2020-21 | แฮร์รี่ เคน | สเปอร์ส | 14 |
2019-20 | เควิน เดอ บรอยน์ | แมนซิตี้ | 20 |
2018-19 | เอแด็น อาซาร์ | เชลซี | 15 |
2017-18 | เควิน เดอ บรอยน์ | แมนซิตี้ | 16 |
ส่วนรางวัลที่สำคัญอื่นๆ ของพรีเมียร์ลีก เช่น รางวัลไมล์สโตน (Milestone award) สำหรับผู้เล่นที่ลงเล่นครบ 100 นัด รวมถึงผู้เล่นที่ทำประตูได้ 50 ประตู (และทวีคูณ เช่น 100 ประตู เป็นต้น) ซึ่งรางวัลดังกล่าวที่พูดถึงมาทั้งหมดนี้จะอยู่ในรูปแบบของเหรียญรางวัลพิเศษและโล่ประกาศเกียรติคุณความสำเร็จ
โอกาสในการแข่งขันบอลถ้วยยุโรปของทีมจากพรีเมียร์ลีก
ทีมในพรีเมียร์ลีกที่ทำอันดับได้ดีที่สุด 4 ทีมแรกของตารางจะผ่านเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลถัดไป แต่ทั้งนี้ยังต้องพิจารณาดูว่าหากผู้ชนะของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกและยูฟ่ายูโรปาลีกในฤดูกาลที่แล้ว ไม่ได้อยู่ใน 4 อันดับแรก แต่พวกเขามีสิทธิที่จะเข้าแข่งขันในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกโดยอัตโนมัติ
ดังนั้น ในกรณีดังกล่าวทีมอันดับสี่ในพรีเมียร์ลีกจะเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกแทน เพราะตามกฎของยูฟ่าจะอนุญาตให้แต่ละประเทศที่ส่งทีมฟุตบอลเข้าแข่งขันจะมีได้สูงสุดเพียง 5 ทีมเท่านั้น
สำหรับผลงานของสโมสรฟุตบอลอังกฤษจากพรีเมียร์ลีกในการแข่งขันระดับนานาชาตินั้น ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม โดยระหว่างฤดูกาล 1992–93 และ 2020–21 สโมสรในพรีเมียร์ลีกชนะการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกถึง 6 ครั้ง และคว้าอันดับรองชนะเลิศทั้งหมด 7 ครั้ง
ตามหลังทีมจากลาลีกาสเปนที่ครองแชมป์ถึง 11 ครั้ง แต่ก็ยังเหนือกว่าทีมจากเซเรียอา อิตาลี ที่คว้าแชมป์มาทั้งหมด 5 ครั้ง และบุนเดสลีกาของเยอรมันที่ครองแชมป์ไปทั้งหมด 4 ครั้ง จึงนับได้ว่าพรีเมียร์ลีกเป็นสุดยอดแห่งลีกที่มีคุณภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วยมาตรฐานที่สูงลิ่ว
สนามฟุตบอล พรีเมียร์ลีก
สนามฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ (Premier League Stadiums) การขายตั๋วเพื่อให้ผู้ชมเข้ามาชมการแข่งขันในสนาม ถือเป็นแหล่งรายได้ประจำที่สำคัญสำหรับสโมสรในพรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ดูกาล 2016– 2017 การเข้าชมเฉลี่ยทั่วทั้งสโมสรในลีก คือ 35,838 คน
ซึ่งนับตั้งแต่เหตุโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโรในปี 1989 ทำให้มีการปรับเปลี่ยนข้อกำหนดให้แต่ละสนาม ยกเลิกตั๋วเข้าชมแบบยืนชมทั้งหมด และเปลี่ยนให้เป็นที่นั่งเพื่อชมการแข่งขันเต็ม 100%
หลังจากกการก่อตั้งพรีเมียร์ลีก แต่ละสโมสรก็มีการปรับปรุงสนามแข่งขันให้มีความจุมากขึ้นและมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายที่เพียบพร้อม
สนามของแต่ละสโมสร ในศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษ
.
Premier League 2021-22 Stadiums
20 สนามพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ฤดูกาล2020-2021 ตามลำดับความจุที่นั่ง
พรีเมียร์ลีก นัดสุดท้าย
พรีเมียร์ลีกนัดสุดท้าย 2022 เป็นการขับเคี่ยววัดฝีเท้ากันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยอดทีมแห่งยุค กับ ลิเวอร์พูล โคตรทีมที่แรงขึ้นมาอย่างน่าเกรงขาม
พรีเมียร์ลีกมันโคตรมันส์นรกแตก ค่ำคืนนัดสุดท้ายที่ไม่มีวันลืมเลือน
บทสรุป ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2021-22
ทีมแชมป์:
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ทีมที่ได้ไป ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก:
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้
- ลิเวอร์พูล
- เชลซี
- ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
ทีมที่ได้ไป ยูโรป้า ลีก:
- อาร์เซน่อล
- แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ทีมที่ได้ไป ยูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก:
- เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
ทีมที่ตกชั้น:
- เบิร์นลี่ย์
- วัตฟอร์ด
- นอริช ซิตี้
นักเตะที่ได้รับ รางวัลรองเท้าทองคำ (Golden Boot) ดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก:
มีด้วยกัน 2 คน
- โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ (23 ประตู)
- ซน ฮึง มิน (23 ประตู)

ซน ฮึง มิน นักเตะชาวเอเชียคนแรกที่ได้รองเท้าทองคำ
ผู้รักษาประตูที่ได้รับ รางวัลถุงมือทองคำ (Golden Glove):
มีด้วยกัน 2 คน
- อลิสซอน เบ็คเกอร์ (20 คลีนชีท)
- เอแดร์สัน โมราเอส (20 คลีนชีท)
นักเตะจอมแอสซิสต์ (Playmaker) แอสซิสต์พรีเมียร์ลีก 2022 ล่าสุด:
– โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ (13 แอสซิสต์)
‘บังโม’ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ เหมาสองรางวัล ทั้งรางวัลรองเท้าทองคำ และนักเตะจอมแอสซิสต์
7 นักเตะที่เคยได้ทั้งดาวซัลโวและท็อป แอสซิสต์ของพรีเมียร์ลีก
พรีเมียร์ลีกอังกฤษ นั้นได้ชื่อว่าเป็นลีกฟุตบอลที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นลีกที่เต็มไปด้วยนักเตะชั้นนำและมีมาตรฐานการแข่งขันที่สูงมาก
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทำให้มีผู้สนใจให้การติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งประวัติความเป็นมาของพรีเมียร์ลีกนั้นมีความน่าสนใจอย่างมากดังที่นำเสนอไปข้างต้น ซึ่งจะทำให้เข้าใจถึงที่มาที่ไป และได้ทราบรายละเอียดที่สำคัญของพรีเมียร์ลีกอังกฤษกันมากขึ้น