คีแกน นิวคาสเซิล – นิวคาสเซิ่ล เป็นหนึ่งในทีมดังจากเขตตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ มีเมืองหลักชื่อว่า ไทน์ เป็นการตั้งชื่อตามแม่น้ำหลัก (แม่น้ำไทน์) ที่เป็นเขตแดนการปกครอง ถือว่าเป็นทีมดังจากเกาะอังกฤษ บอลอังกฤษ ที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดี
ทั้งยังเป็นทีมที่มีความลุ่ม ๆ ดอน ๆ ในเรื่องการคว้าแชมป์เสมอ พาให้แฟนคลับต้องลุ้นแบบไม่ติดเก้าอี้อยู่ตลอด
ยิ่งในช่วงปี 1992-1993 ที่เป็นการเปลี่ยนผ่านจากโค้ชคนเดิมสู่คนโค้ชคนใหม่อย่าง เควิน คีแกน ด้วยแล้ว จากความสิ้นหวังที่ต้องตกชั้น ก็เริ่มมีแสงสว่างให้เห็นขึ้นมาบ้าง
วันนี้จึงขอพาแฟนบอลของทีมสาลิกาดง ไปย้อนความหลังในเรื่องนี้กันอีกครั้ง
เลือกอ่านหัวข้อที่ต้องการ
จุดเริ่มต้นของเควิน คีแกนกับนิวคาสเซิ่ล
ในช่วงฤดูกาล 1988 นิวคาสเซิ่ลตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก เพราะจากทีมตัวเก่งในดิวิชั่น 1 กลับตกลงมาอยู่ที่ดิวิชั่น 3 เรียกได้ว่าผลงานตกลงฮวบฮาบ จนแทบไม่เหลือเค้าความเป็นทีมเก่งที่เคยเกือบคว้าแชมป์มาแล้วหลายรายการ
ซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นการดูแลทีมของ ออสวัลโด้ อาร์ดิเลส ผู้จัดการทีมฝีมือดีจากอาร์เจนตินา มาพร้อมความมั่นใจและพลังเต็มเปี่ยมที่จะนำพานิวคาสเซิ่ลไปสู่ความยิ่งใหญ่
แต่กลับกลายเป็นการพาให้ผลงานย่ำแย่ลงและทีมตกต่ำจนถึงขั้นสุด กลายมาเป็นจุดด่างสำคัญภายในวงการฟุตบอลของนิวคาสเซิ่ลที่แฟนคลับทุกรุ่นต่างก็จดจำกันได้เป็นอย่างดี
จนกระทั่งในช่วงฤดูกาล 1992 การคุมทีมของกุนซือคนใหม่อย่าง เควิน คีแกน ก็เริ่มต้นขึ้น
ด้วยความที่ยังหนุ่มและฟิตปั๋งในทุก ๆ ด้าน การเข้ามาคุมทีมจึงถือว่าไฟแรงมาก โดยคีแกนได้จัดการทุกส่วนของทีมให้มีความสมดุล จนสามารถรอดพ้นจากการตกชั้นและจบอันดับที่ 20 ในฤดูกาล 1991-1992
เควิน คีแกน จึงกลายมาเป็นคีย์แมนคนสำคัญที่แฟนคลับและสโมสรของนิวคาสเซิ่ลต่างก็ฝากความหวังไว้ ซึ่งหลังจากการเข้ารับตำแหน่งก็ไม่เคยทำให้แฟนคลับกับสโมสรนิวคาสเซิ่ลผิดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เพราะเข้ามาปรับโฉมการเล่นบอลของคนในทีมใหม่ทั้งหมด ยอมแม้กระทั่งจ่ายค่าทำความสะอาดสนามเอง เพื่อการฝึกซ้อมที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
พร้อมทำให้ฟอร์มการเล่นของนักเตะทุกคนเข้าธีมกับบอลอังกฤษ ที่เหมาะสมต่อการชิงแชมป์พรีเมียร์ลีก และแชมป์ต่าง ๆ ของอังกฤษได้ดีกว่าที่ออสวันโด้ทำไว้
ช่วงฤดูกาลปี 1992 ได้ดึงตัวกองหน้าคนสำคัญอย่าง แอนดี้ โคล มาร่วมทีม โดยในช่วงนั้นแอนดี้ โคล สังกัดอยู่ทีม Bristol City ซึ่งเป็นการคว้าตัวที่มีมูลค่าสูงถึง 1.7 5 ล้านปอนด์
การลงทุนที่ดูเหมือนจะเกินตัวนี้กลับกลายเป็นการนำพาให้นิวคาสเซิ่ลก้าวขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 ด้วยการคว้าแชมป์มาอย่างงดงาม ทั้งยังคว้าโควตาเข้าสู่พรีเมียร์ลีกที่ถือว่าเป็นลีกสูงสุดของอังกฤษได้อย่างน่าประทับใจ
การมาของแอนดี้ โคล ทำให้ภายในลีกดิวิชั่น 1 เขาทำประตูไปได้ถึง 8 ประตู จนกลายเป็นดาวซัลโวของทีมและเดวิด เคลลี่ยังทำประตูเพิ่มได้อีก 24 ประตู แสงสว่างแห่งความหวังที่เริ่มต้นจากการมาของเควิน คีแกน ภายในทีมนิวคาสเซิ่ลจึงเริ่มสว่างไสวมากขึ้นเรื่อย ๆ
พร้อมทำให้ทุกคนภายในทีมนิวคาสเซิ่ลรู้สึกหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้นักเตะหลายคนต่างก็รู้สึกท้อแท้และมองว่าตัวเองอาจจะไม่ได้กลับมาสู่สนามของดิวิชั่น 1 และลีกสูงสุดอย่างพรีเมียร์ลีกได้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อการซื้อ แอนดี้ โคล สามารถกู้วิกฤตของทีมให้กลับมายืนอยู่ในจุดที่เหมาะสมได้แล้ว จึงได้มีการเสริมด้วย ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์ ที่ถูกดึงให้กลับมาช่วยทีมนิวคาสเซิ่ลอีกครั้ง เพื่อทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบมากขึ้น
ทั้งแอนดี้ โคลและปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์ จึงพากันทำประตูภายในพรีเมียร์ลีกอย่างสนั่นหวั่นไหว ด้วยการทำทะลุไปมากถึง 30 ประตูด้วยกัน
นอกจากนี้ความโดดเด่นของเควิน คีแกน คือ การทำให้ทีมเป็นที่สนใจของแฟนบอลและนักข่าวทั่วโลก จนถูกตั้งให้เป็นกุนซือคนดังที่เต็มไปด้วยความบันเทิง เพราะเพียงแค่เข้ามาได้ไม่นานก็สามารถนำทีมไปยิงประตูได้สูงถึง 82 ประตู จนกลายเป็นการแซงหน้าแชมป์ลีกทีมดังอย่าง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สโมสรแมนยู อีกด้วย
แต่ก็ใช้ว่าความสุขนี้ของ ชาวแม็กพายส์ จะอยู่ไปได้อย่างยาวนาน เพราะในท้ายที่สุดแล้วงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เมื่อแอนดี้ โคล ต้องถูกขายให้กับทีมดังอย่าง Manchester United จึงถือว่าเป็นความสูญเสียที่ค่อนข้างใหญ่หลวงของนิวคาสเซิ่ล
แต่ดีลนี้ก็ไม่ได้เสียเปล่าเพราะทางแมนยูฯ ได้ให้ คีธ กิลเลสพี ติดมาด้วย ซึ่งหลังจากการขายแอนดี้ โคลไป ในช่วงฤดูกาล 1994 ทำให้การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเริ่มมีอุปสรรค
ในช่วงเวลานั้นต้องยอมรับว่านิวคาสเซิ่ลมีปัญหาในการเล่นพอสมควรและจบตารางไปเพียงแค่อันดับที่ 6 จึงไม่สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพได้
เมื่อสถานการณ์เริ่มตึงเครียด จึงทำให้เควิน คีแกน ตัดสินใจที่จะต้องซื้อ เลส เฟอร์ดินานด์ เพื่อนำมาเป็นตัวแทนของแอนดี้ โคล และใส่เสื้อในหมายเลขเดียวกัน จึงทำให้ดูมีความหวังมากขึ้น
ฤดูกาล 1995-1996 ทีมสามารถทำคะแนนนำปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ถึง 12 คะแนนด้วยกัน แต่ในท้ายที่สุดแล้วการนำ ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า ของโคลัมเบียมาช่วยทีม กลับกลายเป็นการทำให้ความสามารถในเกมบุกของนิวคาสเซิ่ลเริ่มแผ่วปลายลง
จาก 13 เกมช่วงท้ายฤดูกาล ชนะไปเพียงแค่ 5 นัดเท่านั้น จึงทำให้ทางปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดขึ้นแซงไปอย่างน่าเสียดาย ช่วงฤดูกาล 1995-1996 จึงจบเพียงแค่รองแชมป์ลีก
แต่ก็สามารถกระตุ้นให้ทั้งแฟนคลับและสโมสรต้องการไปสู่ความสำเร็จมากขึ้น เควิน คีแกน จึงทุ่มทุนมหาศาลอีกครั้งในการซื้อตัว อลัน เชียเรอร์ ด้วยราคามากถึง 15 ล้านปอนด์ แล้วนำมาสู่การสวมหมายเลข 9 แทนเลส เฟอร์ดินานด์ จึงทำให้บรรดาแฟนคลับรู้สึกมีความหวังและพร้อมที่จะเชียร์ให้ทีมไปคว้าแชมป์กันมากยิ่งขึ้น NEW CASTLE
จุดล่มสลายอาณาจักรไทน์ไซด์ นิวคาสเซิ่ลไปต่อไม่ไหว
แม้สถานการณ์ต่าง ๆ จะดูดีขึ้นตามลำดับ เปรียบเสมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่กลับกลายเป็นว่าเควิน คีแกน ลาออกจากตำแหน่งไปแบบกะทันหัน ทั้งที่ตัวเองนั้นกำลังไปได้ดีกับผลงานของทีมที่ยอดเยี่ยม
โดยผลกระทบจากการลาออกของกุนซือคนดังนี้เอง จึงทำให้ฤดูกาลนั้นนิวคาสเซิ่ลจบได้เพียงแค่อันดับที่ 2 ของลีก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กุนซือคนใหม่อย่าง เคนนี่ ดัลกลิช ชาวสกอตแลนด์ ผู้ที่เคยนำ Blackburn Rovers ทีมจากลีกรองไปคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มาเป็นผู้ดูแลทีมแทน แล้วก็ตาม
การมาของเควิน คีแกน จึงจบลงแบบรวดเร็วและง่ายดาย จนทำให้กลายมาเป็นจุดล่มสลายของทีมที่มาจากอาณาจักรไทน์ไซด์ แม่น้ำไทน์ (River Tyne)
หลังจากนั้น นิวคาสเซิ่ลก็เริ่มไปต่อไม่ไหวและผลงานก็เริ่มย่ำแย่ลง
แม้ว่าถัดมาอีกหลายปีการกลับมาของเควิน คีแกนอีกครั้งในปี 2008 จะทำให้เหล่าแฟนแม็กพายส์กลับมามีความหวัง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ของนิวคาสเซิ่ลดีขึ้น เพราะอยู่ทำทีมได้เพียงแค่ 8 เดือนเท่านั้น ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งอย่างรวดเร็ว จึงกลายเป็นการสิ้นสุดความสัมพันธ์ของทั้งคู่และจบความยิ่งใหญ่ของนิวคาสเซิ่ลไปพร้อมกัน
บทเรียนสำคัญจากกรณีเควิน คีแกนกับนิวคาสเซิ่ล
เมื่อเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ย่อมตามมาพร้อมกับบทเรียน ซึ่งในกรณีของเควิน คีแกนกับนิวคาสเซิ่ลนั้น เป็นเรื่องของการประเมินสถานการณ์ที่ค่อนข้างผิดพลาดไปมากพอสมควร
แม้จะเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี แต่ต้องยอมรับว่าความกดดันจากการคว้าถ้วยใหญ่และแชมป์ระดับพรีเมียร์ลีกที่มีสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้จัดการทีมหรือนักเตะของนิวคาสเซิ่ล ต่างก็ไม่เคยรับมือกับแรงกดดันเหล่านี้มาก่อน
พร้อมไปด้วยประสบการณ์ที่ยังถือว่ามีไม่มากนัก จึงทำให้การแข่งขันในช่วงแรก นิวคาสเซิ่ลสามารถไล่ต้อนคู่ต่อสู้และพร้อมถล่มประตูอย่างเต็มที่ แต่เมื่อเจอการแก้เกมของทีมที่เก๋ากว่าก็ทำให้ไปไม่เป็น
เช่น สถานการณ์อุดแดน 11 ตัว ของทางทีมเวสต์แฮม ยูไนเต็ด กลับกลายเป็นนิวคาสเซิ่ลของคีแกน ไม่สามารถทำประตูได้เลยแม้แต่ประตูเดียว จึงแพ้ให้กับเวสต์แฮมไปอย่างน่าเสีย
ทั้งยังไปเสมอกับทางแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ในยุคนั้นถือว่าเป็นทีมระดับล่างของตารางอีกด้วย
ซึ่งบทเรียนสำคัญเหล่านี้เกิดขึ้นจากการที่คีแกนไม่ยอมปรับเปลี่ยนแผนของตัวเอง แต่กลายเป็นการสั่งให้ทีมยังคงใช้แผนเดิมและบุกแบบไม่สนใจรูปแบบการเล่นของทีมอื่น
ทำให้รูปเกมของนิวคาสเซิ่ลกลายเป็นรอง เพราะถูกทีมอื่นแก้เกมได้ทันเวลาและทำให้อีกหลายทีมที่ลงแข่งกับนิวคาสเซิ่ล รู้ถึงวิธีการเล่นจนสามารถแก้สถานการณ์ได้เกือบทั้งหมด
จึงกลายเป็นการทำให้ทีมรุกหนักแต่กลับไม่ได้อะไรเลย ต้นเกมที่ดูเหมือนจะนำแต่ท้ายเกมก็แทบก็ไม่สามารถทำคะแนนได้ ทำให้กลายเป็นการพูดถึงทีมนิวคาสเซิ่ลในช่วงเวลานั้นว่าต่อให้บุกทำประตูมากแค่ไหนก็ตาม แต่กลับกลายเป็นตัวเองต้องแพ้อยู่ดี บทเรียนสำคัญนี้ทำให้เควิน คีแกน ได้รู้ว่าความประมาทของตัวเองอาจกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ทีมต้องย่ำแย่ลงไปด้วย
นอกจากนี้ สงครามจิตวิทยาจากกุนซือคนดังด้วยกัน อาจทำให้เควิน คีแกนถึงกับฉุนขาดและไม่สามารถรักษาความนิ่งของทีมไว้ได้
ซึ่งหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เห็นว่าคีแกนไม่สามารถรักษาอาการของตัวเองได้ดี คือ การพูดกรอกหูของ ท่านเซอร์เฟอร์กี้แห่งทีมปีศาจแดง แมนยูฯ เรื่องการเจอกันระหว่างน็อตติ้ง แฮมฟอเรสต์ และนิวคาสเซิ่ล
ด้วยประโยคสั้น ๆ ที่ให้คีแกนระวังฟอเรสต์จะเล่นไม่เต็มที่ จึงเปรียบเสมือนการโดนดูถูกอย่างร้ายแรง ทำให้ความมั่นใจของทั้งนักเตะทีมนิวคาสเซิ่ลกับเควิน คีแกนเริ่มน้อยลงและกดดันมากขึ้น จนกลายเป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งกันเอง
ซึ่งการแข่งขันในเวลานั้นแต่ละนัดมีสภาพที่เรียกได้ว่าหืดขึ้นคอ ทั้งยังพาทีมไปแพ้ทั้งลิเวอร์พูลและแบล็กเบิร์น โรเวอส์แบบ 3 เกมรวด จึงยิ่งทำให้นักเตะเริ่มหมดกำลังใจและกลายเป็นการรับมือต่อความกดดันที่เริ่มไม่ไหวกันทั้งทีม
โดยเฉพาะในเรื่องการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเฟอร์กี้ของคีแกน ที่ได้พูดไว้ตั้งแต่ตอนต้นของการให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ให้ราคาเกี่ยวกับคำพูดของเฟอร์กี้ แต่กลับกลายเป็นการพูดฝากไปหาผู้จัดการทีมคนดังในเวลานั้นแบบจัดหนัก จัดเต็ม มีทั้งคำท้าทายและตำเยาะเย้ยเต็มไปหมด จึงยิ่งทำให้นักเตะของตัวเองเริ่มรู้สึกกดดันที่เควิน คีแกนได้ประกาศออกไป
เรื่องนี้จึงถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องบั่นทอนจิตใจของนักเตะนิวคาสเซิ่ลเวลานั้นเป็นอย่างมาก ซึ่งสุดท้ายแล้วกลายเป็นว่าการเจอกับทีมฟอเรสต์ในเกมรองสุดท้าย ทำได้เพียงแค่การเสมอกันไป 1-1 จึงทำให้คะแนนของนิวคาสเซิ่ลต้องตามหลังแมนยูไนเต็ดไปถึง 2 คะแนนด้วยกัน และการจบแต้มในฤดูกาลก็ยังคงตามหลังแมนยูฯ ถึง 4 แต้มด้วยกัน
จึงทำให้ได้เห็นบทเรียนสำคัญที่เควิน คีแกน ไม่สามารถควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของตนเองได้ จึงทำให้เกิดความเสียหาย จากทีมที่เคยแข่งอย่างดุดันกลับกลายเป็นทีมที่แทบไม่สามารถทำประตูได้ ความเฉียบคมของนักเตะในสนามแต่ละคนเริ่มจางหายอย่างน่าเสียดาย
ส่วนการกลับมาอีกครั้งของเควิน คีแกน หลังจากเกิดเหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์ จนทำให้ลาออกแบบกะทันหัน แม้จะผ่านล่วงเลยมาจนถึงปี 2008 แต่กลับมาได้เพียงแค่ 8 เดือน ก็โดนปลดออกอย่างรวดเร็ว
นั่นก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญ เพราะถ้าคีแกนไม่ยอมเปลี่ยน ยังคงใช้รูปแบบเกมเดิม ๆ กับยุคที่เริ่มเปลี่ยนผ่านทั้งฝีมือของผู้เล่นและทักษะการควบคุมทีมของผู้จัดการรุ่นใหม่ คีแกนย่อมไม่สามารถไปต่อกับทีมใด ๆ ได้อีกอย่างแน่นอน จนทำให้ต้องสละตำแหน่งและออกจากวงการไปในที่สุด
เควิน คีแกน คือใคร? ทำไมจึงกลายเป็นความหวังของนิวคาสเซิ่ลช่วงปี 1992
เควิน คีแกน หรือ โจเซฟ เควิน คีแกน อดีตนักฟุตบอลที่มีฝีเท้ายอดเยี่ยม โดยเริ่มสานฝันนักบอลครั้งแรกกับสโมสรสคันธอร์ปยูไนเต็ด ช่วงปี 1968
เมื่อทางทีมลิเวอร์พูลได้เห็นถึงความสามารถของคีแกน จึงได้ทาบทามให้เข้าร่วมทีมในช่วงปี 1971 และได้สวมเสื้อเบอร์ 7 ซึ่งในช่วงที่คีแกนได้เล่นให้กับลิเวอร์พูล สามารถที่จะคว้าแชมป์รายการสำคัญมาครองได้อย่างหลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นการครองแชมป์ดิวิชั่น 1 ติดต่อกันถึง 3 สมัย, การครองแชมป์ยูฟ่าคัพ 2 สมัย และแชมป์เอฟเอคัพอีก 2 สมัย ทั้งยังได้ยูโรเปี้ยนคัพอีก 1 สมัย รวมไปถึงการได้ติดเข้าสู่ทีมชาติอังกฤษอย่างรวดเร็วในปี 1972
แต่ในท้ายที่สุด คีแกนได้ตัดสินใจย้ายไปร่วมกับทีมฮัมบวร์ค ช่วงปี ค.ศ. 1977 เพื่อหาประสบการณ์ใหม่และยังคงสามารถคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีมาครองได้ถึง 2 สมัยติดต่อกัน จึงกลายมาเป็นนักเตะคนสำคัญที่สามารถพาทีมที่ตัวเองเคยอยู่คว้าแชมป์มาครองได้อย่างสวยงาม
ดังนั้นจึงทำให้คีแกนที่ร่วมกับทีมฮัมบวร์คคว้าแชมป์บุนเดสลีกาในฤดูกาล 1978-1979 มาครองได้อย่างสวยงาม พร้อมการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพในปีต่อมา หลังจากการประสบความสำเร็จจึงได้ย้ายไปร่วมกับทีมเซาแธมป์ตัน
และไปต่อที่ทีมนิวคาสเซิ่ลในช่วงปี 1984 จนกระทั่งสามารถทำให้ทีมเลื่อนชั้นได้สำเร็จ
ซึ่งหลังจากความสำเร็จเหล่านี้ได้เพียง 2 ปี เควิน คีแกนก็ได้ประกาศอำลาวงการฟุตบอล จึงทำให้มีสถิติของการติดทีมชาติอังกฤษสูงสุด 63 นัด และยิงได้มากถึง 21 ประตูด้วยกัน
จากนั้นจึงได้ผันตัวเองมาสู่การเป็นผู้จัดการทีม และยังคงสามารถพาทีมต่าง ๆ ไปสู่การคว้าแชมป์ได้อย่างดีเยี่ยม หนึ่งในเกียรติประวัติที่ทำให้เควิน คีแกน มีชื่อติดอยู่ในผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดของปี ค.ศ. 1992 คือ การเป็นผู้จัดการทีมของนิวคาสเซิ่ลและสามารถพาทีมไปคว้าแชมป์ต่าง ๆ จนรอดพ้นการตกชั้นมาได้ในที่สุด
แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ไม่ค่อยยอมใครและควบคุมอารมณ์ได้ค่อนข้างยาก ทั้งยังมั่นใจในตัวเองสูงมากจนแทบไม่ฟังใคร จึงทำให้ตัดสินใจลาออกอย่างกะทันหัน แม้ในท้ายที่สุดจะได้ย้อนกลับมารับตำแหน่งเดิมใหม่อีกครั้งในปี 2008 ก็อยู่ได้ไม่นาน ต้องถูกปลดออกอีกครั้ง เพราะด้วยปัญหากับทางบอร์ดบริหารของสโมสรนิวคาสเซิ่ล
ซึ่งการออกในครั้งนี้ยังเป็นการออกจากวงการฟุตบอลไปโดยสิ้นเชิงอีกด้วย ทำให้จบตำนานของการเป็นกุนซือดังที่เกือบนำพาให้นิวคาสเซิ่ลได้คว้าความสำเร็จในลีกสูงสุดของอังกฤษได้ตามความฝันของชาวแม็กพายส์ไปอย่างน่าเสียดาย