แมนยู ปีศาจแดง หากจะพูดถึงทีมฟุตบอลที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากที่สุด และมีแฟนบอลเป็นจำนวนมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ต้องมี แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด รวมอยู่ด้วย
ซึ่ง แมนยู ปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ชื่อว่าเป็นทีมฟุตบอลที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมาย ประวัติแมนยู, เซอร์แมตต์ บัสบี้, จอร์จ เบสต์, โศกนาฏกรรมมิวนิค, โอลด์แทรฟฟอร์ด, บ็อบบี้ ชาร์ลตัน, เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, เอริค คันโตน่า, เดวิด เบ็คแฮม, คริสเตียโน โรนัลโด้
ดังนั้น ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับสุดยอดทีมฟุตบอลของโลกทีมนี้กันให้มากขึ้น
เลือกอ่านหัวข้อที่ต้องการ
กว่าจะมาเป็น the ‘Red Devils’ ของ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพ ตั้งอยู่ที่ Old Trafford เมือง Greater Manchester ประเทศอังกฤษ เป็นสโมสรชั้นนำในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ
แฟนบอลส่วนใหญ่มักเรียกชื่อเล่นของสโมสรว่า ปีศาจแดง หรือ The Red Devils

ก่อนที่จะได้ฉายานี้มา ทางทีมก็มีชื่อเรียกในยุคเริ่มแรกว่า The Heathens ซึ่งเป็นชื่อเรียกนับตั้งแต่มีการก่อตั้งสโมสรในปี ค.ศ. 1878 ที่ในขณะนั้นทีมยังใช้ชื่อว่า Newton Heath L&YR Football Club (Newton Heath LYR Football Club)

ข้อมูลเพิ่มเติม: โลโก้แมนยู จากอดีตถึงปัจจุบัน (The Evolution Of Manchester United Logo)
ต่อมาทีมได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น Manchester United ในปี 1902
และย้ายสนามไปยัง โอลด์แทรฟฟอร์ด ในปี 1910 (19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1910) ที่ใช้เป็นสนามเหย้าของทีมมาจนถึงในปัจจุบัน (มีความจุ 74,140 ที่นั่ง)
ต่อมาในปี ค.ศ. 1945 เซอร์แมตต์ บัสบี้ (Sir Matt Busby) ได้เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรและได้ชักชวนผู้เล่นเยาวชนจำนวนมากเข้าร่วมทีม ทำให้ทีมมีชื่อเล่นที่เรียกกันในขณะนั้นว่า The Busby Babes

แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ “โศกนาฏกรรมมิวนิค” (Munich Air Disaster) เมื่อปี 1958 (6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1958) ที่มีผู้เสียชีวิต 23 ราย และในจำนวนนั้นก็มีผู้เล่นของสโมสรรวมอยู่ด้วยเป็นจำนวน 8 ราย ทำให้ผู้คนและทีมบอลเกิดความรู้สึกว่าชื่อเล่นของทีมที่ใช้อยู่นี้ ดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่
ซึ่งเซอร์บัสบี้เอง ก็รู้สึกว่าฉายา Babes นั้นดูไม่น่าเกรงขามเท่าที่ควร เขาจึงเสนอความคิดว่าควรใช้ฉายา Devils หรือปีศาจ จะเหมาะกับทีมมากกว่า
ดังนั้น สโมสรจึงเริ่มหันมาใช้สัญลักษณ์ Devils บนผ้าพันคอ รวมถึงโลโก้ในการแข่งขันอย่างเป็นทางการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ตราสโมสรได้รับการออกแบบใหม่อย่างเป็นทางการในปี 1970 เป็นสัญลักษณ์ Devils และมาสค็อตอย่างเป็นทางการของสโมสรก็คือ Fred the Red ที่สวมเสื้อหมายเลข 55 เป็นที่รู้จักและคุ้นตาของแฟนบอลมาจนถึงทุกวันนี้

ประวัติแมนยู
แมนยู ประวัติ ประวัติความเป็นมาของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในแต่ละยุค

ผีแดงแมนยู สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีความเป็นมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยมียุคของผู้จัดการทีมที่ครองตำแหน่งอย่างยาวนานถึง 2 คน ทั้ง เซอร์แมทธิว บัสบี้ (Sir Alexander Matthew “Matt” Busby) และ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (Sir Alex Ferguson)


ผ่านเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่ทำให้สูญเสียบุคลากรและนักเตะคนสำคัญของทีมไปถึง 11 คน รวมถึงเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ อีกมากมายกว่าจะกลายมาเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่อย่างในทุกวันนี้
ซึ่งในแต่ละยุคสมัยของสโมสรแมนยูได้ผ่านอะไรมาบ้าง เราจะมาดูประวัติศาสตร์ของสโมสรแมนยูกันอย่างละเอียดในเนื้อหาดังต่อไปนี้
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ภาษาอังกฤษ Manchester United Football Club
ปีศาจแดง ภาษาอังกฤษ The Red Devils
ประวัติศาสตร์ Man United Part1 [Video เวอร์ชั่นยาว]
ประวัติศาสตร์ Man United Part2 [Video เวอร์ชั่นยาว]
ประวัติ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด [Video สั้น]
ยุคเริ่มแรก (ค.ศ. 1878-1910)
ในยุคเริ่มต้นของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ทีมใช้ชื่อในการก่อตั้งว่า Newton Heath L&YR Football Club โดยพนักงานแผนกตู้โดยสารรถไฟ ของแลนคาเชียร์และยอร์คเชียร์ (Carriage and Wagon department of the Lancashire and Yorkshire Railway depot)
ทีมได้ลงแข่งขันกับแผนกอื่นๆ ในบริษัท ก่อนที่จะมีการบันทึกการแข่งขันอย่างเป็นทางการกับทีมสำรองของ Bolton Wanderers โดยในตอนนั้นทีมได้ใส่ชุดแข่งเป็นสีของบริษัท คือ สีเขียวและทอง ก่อนผลการแข่งขันจะออกมาที่พวกเขาแพ้ทีมสำรองของ Bolton Wanderers ไปด้วยสกอร์ 6-0


ปี ค.ศ. 1888 สโมสรได้กลายเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง The Combination ซึ่งเป็นลีกฟุตบอลระดับภูมิภาค แต่ลีกนี้ก็มีอายุอยู่ได้เพียงฤดูกาลเดียวก็ล่มไป
จากนั้น นิวตัน ฮีธ ได้เข้าร่วมสมาคมฟุตบอลที่จัดตั้งขึ้นใหม่โดยใช้เวลากับที่นี่ 3 ฤดูกาล ก่อนที่จะถูกรวมเข้ากับฟุตบอลลีก ดังนั้น จึงทำให้สโมสรเริ่มต้นการแข่งขันในช่วงฤดูกาล 1892–93 ในลีกดิวิชั่นหนึ่ง
และในขณะนั้นทีมก็ได้เป็นอิสระจากบริษัทรถไฟแล้ว ทำให้มีการตัดคำว่า LRY ออกจากชื่อสโมสร แต่เมื่อเริ่มต้นการแข่งขันไปได้เพียง 2 ฤดูกาล ทีมก็ตกชั้นลงสู่ดิวิชั่น 2
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1902 สโมสรมีหนี้สินอยู่จำนวน 2,670 ปอนด์ (หรือเทียบเท่ากับ 300,000 ปอนด์ในปัจจุบัน) ทำให้สโมสรได้รับคำสั่งให้เลิกกิจการทันที
แต่ แฮร์รี่ สแตฟฟอร์ด (Harry Stafford) กัปตันทีมในขณะนั้นก็ไม่ยอมแพ้ เขาได้ไปพบกับนักธุรกิจท้องถิ่น 4 คน รวมทั้ง จอห์น เฮนรี่ เดวีส์ (John Henry Davies เจ้าของ British brewery ที่ภายหลังได้กลายมาเป็นผู้จัดการทีม) เพื่อทำการรวบรวมเงินคนละ 500 ปอนด์เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการเข้าบริหารจัดการสโมสร


ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นี้ก็ทำให้มีการเปลี่ยนชื่อสโมสรมาเป็น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (Manchester United) ที่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1902
ภายหลังจากการเปลี่ยนชื่อสโมสร แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ภายใต้การนำของ เออร์เนสต์ มังนัลล์ (Ernest Mangnall) ทีมก็สามารถคว้าตำแหน่งรองแชมป์ดิวิชั่น 2 ในปี ค.ศ. 1906 และได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 และสามารถคว้าแชมป์ได้ในปี ค.ศ. 1908

จากนั้นทีมก็สามารถทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง ในฤดูกาลต่อมาโดยเริ่มต้นจากการคว้าแชมป์แชริตี้ ชิลด์ (Charity Shield หรือ FA Community Shield ในปัจจุบัน) ก่อนจะจบลงด้วยตำแหน่งแชมป์เอฟเอ คัพ (FA Cup) ภายใต้ชื่อสโมสร แมนยู เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน
แต่ในฤดูกาลต่อจากนั้น คือในปี ค.ศ. 1911 หลังจากที่สโมสรสามารถคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 เป็นครั้งที่ 2 มังนัลล์ก็ออกจากสโมสรเพื่อไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้
ยุค ค.ศ. 1910-1945
ในยุคนี้เป็นยุคก่อกำเนิดของโอลด์แทรฟฟอร์ด (Old Trafford) ที่จะกลายเป็นสนามเหย้าของยูไนเต็ดมาจนถึงปัจจุบัน
โดยจอห์น เฮนรี่ เดวีส์ ได้ซื้อที่ดินผ่านบริษัท Manchester Brewery แล้วให้สโมสรเช่าต่อ ส่วนค่าก่อสร้างสนามนั้นเดวีส์เป็นคนออกเงินเอง
โอลด์แทรฟฟอร์ด

ทัวร์ Old Trafford โรงละครแห่งความฝันเหล่าผีแดงแมนยู Man U
สถาปนิกผู้ดูแลการสร้างสนามคือ อาร์ชีบัลด์ ลีตช์ (Archibald Leitch) สถาปนิกชื่อดัง ชาวสก็อตแลนด์ ผู้ออกแบบสนามฟุตบอลชื่อดังมากมาย เช่น เซนต์ เจมส์ ปาร์ค (ของ New Castle), ไฮบิวรี่ (ของ Arsenal), แอนฟิลด์ (ของ Liverpool), วิลล่าพาร์ค (ของ Aston Villa), อีวู้ด ปาร์ค (ของ Blackburn Rovers) เป็นต้น
ONE MAN BUILT ALL THESE STADIUMS – Archibald Leitch
จนถึงปี 1910 สโมสรก็ทำการย้ายจากสนามเก่ามาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ Old Trafford ซึ่งโปรแกรมเปิดสนามมีขึ้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1910 โดยผลการแข่งขันนั้นยูไนเต็ดแพ้ลิเวอร์พูลไป 4-3 ประตู
โอลด์แทรฟฟอร์ด ความจุ – แต่แม้จะเปิดประเดิมไปด้วยความพ่ายแพ้ แต่สนามใหม่ที่จุผู้ชมได้ถึง 74,140 คน ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีกว่าเดิม
โอลด์แทรฟฟอร์ด มีชื่อเรียกว่า Theatre of Dreams หรือ โรงละครแห่งความฝัน โดย เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน
ในปี ค.ศ. 1922 ซึ่งเป็นระยะเวลา 3 ปีหลังจากมีการเริ่มต้นฤดูกาลแข่งขันฟุตบอลใหม่อีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สโมสรก็ตกชั้นไปอยู่ดิวิชั่น 2 อีกครั้ง ก่อนที่จะวนเวียนอยู่กับการเลื่อนชั้นตกชั้นอยู่ระยะหนึ่ง
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1927 เมื่อผู้มีอุปการคุณอย่าง จอห์น เฮนรี่ เดวีส์ ได้เสียชีวิตลง การเงินของสโมสรก็ตกต่ำอย่างหนักจนเกือบล้มละลาย แต่โชคยังดีที่มีนายทุนอย่าง เจมส์ ดับเบิลยู กิบสัน (James W. Gibson) ที่นำเงินทุนจำนวน 2,000 ปอนด์ มาเติมให้กับสโมสรพร้อมกับการเข้าควบคุมกิจการ

ทำให้ในฤดูกาล 1938–39 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของฟุตบอลก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สโมสรก็สามารถจบอันดับที่ 14 ในดิวิชั่นหนึ่งได้
ยุค ค.ศ. 1945-1969
การเริ่มต้นยุคใหม่ของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1945 กับการมาถึงของ เซอร์แมทธิว บัสบี้ (Sir Matthew Busby) ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีม
ทำให้มีการยกระดับการเลือกทีม, การย้ายทีม และการฝึกซ้อมในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
Sir Matt Busby

บัสบี้ สามารถพาทีมขึ้นไปคว้าอันดับ 2 ของลีกได้สำเร็จในปี 1947, 1948 และ 1949 และคว้าแชมป์เอฟ เอ คัพได้ในปี 1948
จากนั้นในปี 1952 สโมสรคว้าแชมป์ดิวิชั่นหนึ่งได้ (นับเป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปีของสโมสร) ก่อนที่จะคว้าแชมป์แบบติดต่อกัน (back-to-back) ได้ในปี 1956 และ 1957 ที่นับว่าเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของทีมนับตั้งแต่มีการก่อตั้งสโมสรขึ้นมา
ลูกทีมแมนยูภายใต้การดูแลของบัสบี้ ล้วนแล้วแต่เป็นนักเตะอายุน้อย อายุเฉลี่ยประมาณ 22 ปี จึงมีฉายาเรียกจากสื่อมวลชนว่า บัสบี้เบ๊บส์ (Busby Babes)
แต่แม้ว่าจะเป็นนักเตะอายุน้อย ก็สามารถสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยในปี ค.ศ. 1957 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมอังกฤษทีมแรกที่เข้าแข่งขันในยูโรเปียนคัพ (European Cup)
แม้จะมีการคัดค้านจากฟุตบอลลีก ซึ่งเคยปฏิเสธโอกาสเดียวกันนี้กับเชลซีในฤดูกาลที่แล้ว ทีมสามารถเข้ารอบได้ลึกถึงรอบรองชนะเลิศโดยแพ้ให้กับเรอัล มาดริด ยอดทีมจากสเปน และในทัวร์นาเม้นท์นี้พวกเขาทำสถิติเอาชนะอันเดอร์เลชท์ แชมป์ลีกจากเบลเยียมไปถึง 10-0 ที่นับว่าเป็นสถิติที่ยังคงเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร
โศกนาฏกรรมมิวนิค
โศกนาฏกรรมมิวนิค (Munich Air Disaster) – ในฤดูกาลถัดมา 1958 ระหว่างทางกลับบ้านหลังคว้าชัยชนะในรอบก่อนรองชนะเลิศถ้วยยุโรปกับเร้ดสตาร์ เบลเกรด เครื่องบินที่บรรทุกนักเตะของแมนยู เจ้าหน้าที่และนักข่าวได้ประสบอุบัติเหตุ
ขณะที่นักบินพยายามจะนำเครื่องบินขึ้นหลังจากเติมน้ำมันในมิวนิก ประเทศเยอรมนี “โศกนาฏกรรมมิวนิค 1958” เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1958 คร่าชีวิตผู้คนไป 23 ราย
รวมทั้งผู้เล่นแปดคน ได้แก่ เจฟฟ์ เบนท์ (Geoff Bent, อายุ 25 ปี), โรเจอร์ เบิร์น (Roger Byrne, 28), เอ็ดดี้ โคลแมน (Eddie Colman, 21), ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ (Duncan Edwards, 21), มาร์ค โจนส์ (Mark Jones, 24), เดวิด เพ็กก์ (David Pegg, 22), ทอมมี่ เทย์เลอร์ (Tommy Taylor,26) และ เลียม วีแลน (Liam Whelan ,22)
เจ้าหน้าที่สโมสร 3 คน และยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายคน
“The darkest day in United′s history”
วาทะลูกหนังขอเสนอ “โศกนาฏกรรมมิวนิค”
สโมสรเข้าสู่ช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผู้ช่วยผู้จัดการทีม จิมมี่ เมอร์ฟี่ย์ (Jimmy Murphy) เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในระหว่างที่บัสบี้รักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ ส่วนทีมสำรองของแมนยูสามารถฝ่าฟันไปได้ถึงรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ซึ่งทีมก็พ่ายให้กับโบลตัน วันเดอเรอร์สในที่สุด
หลังเหตุโศกนาฏกรรมและความยากลำบากของทีม บัสบี้สร้างทีมขึ้นมาใหม่ตลอดช่วงทศวรรษ 1960 โดยเซ็นสัญญากับผู้เล่นอย่าง เดนิส ลอว์ (Denis Law) และ แพ็ต เครแรนด์ (Pat Crerand) ซึ่งเป็นการรวมทีมของนักเตะเยาวชนรุ่นต่อไป รวมถึง จอร์จ เบสต์
ซึ่งทีมสามารถคว้าแชมป์เอฟเอ คัพในปี 1963 และฤดูกาลต่อมาพวกเขาได้อันดับสองในลีก จากนั้นก็คว้าแชมป์ลีกในปี 1965 และปี 1967
กล่าวได้ว่า โศกนาฎกรรมมิวนิค เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์อันรวดร้าวของทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่ด้วยความมุ่งมั่น แข็งแกร่ง ไม่ยอมแพ้ ของเซอร์แมตต์ บัสบี้ และผู้ช่วยของเขา (จิมมี่ เมอร์ฟี่ย์ Jimmy Murphy) ทำให้ทีมสามารถกลับมาสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ภายในเวลาเพียง 10 ปี เท่านั้น ด้วยการคว้าแชมป์ European Cup
จอร์จ เบสต์
จอร์จ เบสต์ (George Best, ‘Georgie Best’) น้กเตะชาวไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland) ที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์มากที่สุดคนหนึ่ง ในยุค 1960 เลยทีเดียว จอร์จ เบสต์ มาพร้อมใบหน้าอันหล่อเหลา ส่วนสูง 175 เซนติเมตร ถนัดเท้าขวา แต่สามารถเล่นเท้าซ้ายได้อย่างเพลินตา
ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูดี หล่อ เท่ห์ เขาได้รับฉายาว่าเป็น “Fifth Beatle” เลยทีเดียว

ภายใต้สีเสื้อยูไนเต็ด จอร์จ เบสต์ ลงสนามทั้งสิ้น 470 ครั้ง ยิงประตูได้ถึง 179 ประตู

ด้วยทักษะฟุตบอลที่เหนือชั้น ทำให้ จอร์จ เบสต์ นักเตะหมายเลข 7 กลายเป็นหนึ่งในตำนานนักเตะของทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาพาทีมคว้าถ้วย European Cup ปี 1968 โดยมีเพื่อนร่วมทีมอย่าง เดนนิส ลอว์ และ เซอร์ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ยุโรปครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรได้สำเร็จ และเป็นทีมแรกของอังกฤษที่สามารถทำได้ โดยแมนยูเอาชนะเบนฟิกา 4 – 1 ในรอบชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ โดยจอร์จ เบสต์ เป็นผู้ทำประตูขึ้นนำ 2 – 1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ (หลังเสมอกันในเวลาปกติ 1 – 1)
จอร์จ เบสต์ ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป (European Footballer of the Year) ปี 1968
และรางวัลบัลลงดอร์ (Ballon d’Or) ในปีเดียวกัน โดยถือว่าเป็นนักเตะลำดับที่ 3 ของแมนยูที่สามารถคว้ารางวัลนี้ได้ ต่อจาก เดนนิส ลอว์ (1964) และ บ๊อบบี้ (1966)
Manchester United Win European Cup vs S.L. Benfica (1968)
เปเล่ เคยเอ่ยปากชมว่า จอร์จ เบสต์ คือ นักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก

“Pelé called me the greatest footballer in the world. That is the ultimate salute to my life.”
George Best
จอร์จ เบสต์ ตำนานลูกหนัง ที่โลกไม่เคยลืม
Flowers of Manchester | A tribute to the victims of the Munich Air Disaster
บัสบี้ลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมในปี 1969 ก่อนที่จะถูกแทนที่โดยโค้ชทีมสำรอง วิลฟ์ แมคกินเนส (Wilf McGuinness) อดีตผู้เล่นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ถือเป็นการสิ้นสุดยุคของบัสบี้
นักเตะคนสำคัญในยุคนี้
1. Jack Rowley
John Frederick Rowley แจ็ค โรว์ลี่ย์ เจ้าของฉายา Gunner ที่ได้มาจากเท้าซ้ายอันเฉียบฉกาจ ทำให้เขาเป็นหนึ่งในนักเตะยอดเยี่ยมระดับตำนานในยุคหลังสงครามโลก ที่มีส่วนช่วยให้แผนทำทีมของแมตต์ บัสบี้ประสบผลสำเร็จ
ในยุครุ่งโรจน์ของ Rowley เขาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าที่น่าเกรงขามที่สุด เพราะสามารถเล่นได้ดีทั้งลูกบนพื้นและบนอากาศ

ภายใต้สีเสื้อยูไนเต็ด Rowley ลงสนามจำนวน 424 ครั้ง และยิงประตูได้อย่างถล่มทลายถึง 211 ประตู
ก่อนหน้าที่จะมาอยู่กับยูไนเต็ด Rowley สังกัดอยู่กับวูล์ฟแฮมป์ตัน แวนเดอร์เรอร์, บอร์นสมัธ และบอสคอมบ์ แอธเลติก จากนั้นก็ย้ายมาเป็นนักเตะในสังกัดยูไนเต็ดด้วยค่าตัวในขณะนั้น (ปี 1937) อยู่ที่ 3,000 ปอนด์
และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยสถิติการยิง 10 ประตู จากการลงเตะ 11 นัดในฤดูกาลแรก ทำให้ยูไนเต็ดก้าวขึ้นเป็นรองแชมป์ดิวิชั่น 2 และหวนคืนสู่ตารางอันดับสูงสุดของฟุตบอลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1931
เมื่อการแข่งขันฟุตบอลหยุดชะงักเนื่องจากการมาถึงของสงครามโลก Rowley ก็เข้ารับใช้ชาติโดยประจำการอยู่กองทหารเซาท์สแตฟฟอร์ดเชียร์ มีส่วนร่วมในการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีในปี 1945 อีกด้วย
หลังสงครามสงบลงและโปรแกรมลีกเปิดตัวขึ้นอีกครั้งในปี 1946 Rowley ก็ลับมาค้าแข้งกับยูไนเต็ดอีกครั้ง โดยเป็นผู้เล่นคนสำคัญ เป็นแกนนำของทีมที่สามารถนำทีมคว้าถ้วย FA Cup ในปี 1948 ด้วยแนวรุก ‘Famous Five’ และยิงประตูได้ 2 ประตูในชัยชนะ 4-2 ครั้งสุดท้ายเหนือแบล็คพูล
2. Sir Bobby Charlton
เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน นักเตะในตำนานที่รอดชีวิตจาก โศกนาฏกรรมมิวนิค เมื่ออายุเพียง 20 ปี หลังจากฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บเขาก็มุ่งมั่นพัฒนาฝีเท้าจนสามารถขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของนักฟุตบอลมืออาชีพ

ตลอดระยะเวลา 17 ปีกับยูไนเต็ด เขาลงเล่น 758 เกมและยิงได้ 249 ประตู ซึ่งเป็นสถิติที่ยาวนาน จนกระทั่งถูกทำลายลงโดย Ryan Giggs ในปี 2008 และ Wayne Rooney ในปี 2017
Bobby Charlton เข้าร่วมทีมในฐานะเด็กฝึกในปี 1953 ภายใต้การดูแลของบัสบี้ และเข้าสู่การเล่นแบบอาชีพในเดือนตุลาคม 1954
ระยะเวลาในการเล่นฟุตบอลอาชีพของเขายาวนาน จนได้ชื่อว่าเป็นที่เคารพนับถือของสโมสร ฟุตบอลอังกฤษ และการแข่งขันฟุตบอลทั่วโลก เป็นผู้ที่เชื่อมโยงกับอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของสโมสร
ยุค ค.ศ. 1969-1986
หลังจากจบอันดับที่ 8 ในฤดูกาล 1969–70 และการออกสตาร์ทที่ย่ำแย่ในฤดูกาล 1970–71 บัสบี้ถูกชักชวนให้กลับมาทำหน้าที่บริหารชั่วคราว และแมคกินเนสส์ก็กลับมารับตำแหน่งในฐานะโค้ชทีมสำรอง
ในเดือนมิถุนายน 1971 แฟรงค์ โอฟาร์เรลล์ (Frank O’Farrell) ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีม แต่เขาก็ใช้เวลากับสโมสรเพียงไม่ถึง 18 เดือนก็ถูกแทนที่ตำแหน่งด้วย ทอมมี่ โดเชอร์ตี้ (Tommy Docherty) ในเดือนธันวาคม 1972
ซึ่งโดเชอร์ตี้ก็มีส่วนสำคัญในการช่วยให้แมนยูไม่ตกชั้นในฤดูกาลนั้น แต่ในฤดูกาลถัดมาสโมสรก็ยังตกชั้นอยู่ดีและต่อมาไม่นานโดเชอร์ตี้ก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง
ผู้จัดการทีมคนต่อมาคือ เดฟ แซกตัน (Dave Sexton) ที่เข้ามารับหน้าที่ดูแลทีม พร้อมกับทำการเซ็นสัญญากับนักเตะคนสำคัญหลายคนไม่ว่าจะเป็น โจ จอร์แดน (Joe Jordan), กอร์ดอน แมคควีน (Gordon McQueen), แกรี ไบลีย์ (Gary Bailey) และเรย์ วิลกินส์ (Ray Wilkins) แต่ความพยายามทั้งหมดก็ไม่เป็นผล เมื่อทีมไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆ มาครองได้เลย
ทำได้เพียงแค่คว้าตำแหน่งรองแชมป์ในฤดูกาล 1979–80 และแพ้ อาร์เซนอล ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพปี 1979 พร้อมด้วยการที่แซกตันถูกไล่ออกจากตำแหน่งในปี 1981

จากนั้นเขาก็ถูกแทนที่โดย รอน แอตกินสัน (Ron Atkinson) ที่กลับมาพลิกฟื้นสถานการณ์ของยูไนเต็ด จนกลับมาคว้าแชมป์เอฟ เอ คัพ ในปี 1983 และ 1985 และเอาชนะคู่แข่งอย่างลิเวอร์พูลเพื่อคว้าแชมป์ Charity Shield ปี 1983 แต่สุดท้ายทีมก็จบไม่สวยนักเช่นกัน เมื่อจบด้วยอันดับที่สี่ในฤดูกาลถัดมา จากนั้นไม่นานแอตกินสันก็ถูกไล่ออก (6 พฤศจิกายน 1986)
นักเตะคนสำคัญในยุคนี้
1. Bryan Robson
Bryan Robson ไบรอัน ร็อบสัน หรือที่เรียกกันว่า กัปตันมาร์เวล เริ่มต้นเป็นนักเตะของยูในเต็ดเมื่อปี 1981 โดยสวมเสื้อหมายเลข 7
ก่อนหน้านี้ Robson เล่นให้กับ West Bromwich Albion กว่า 200 เกมโดยยิงได้ 39 ประตู
จากนั้นเมื่อ Ron Atkinson กลับมาเป็นนายใหญ่ของยูไนเต็ด เขาก็จ่ายเงินกว่า 2 ล้านปอนด์เพื่อนำ Robson และ Remi Moses มายังถิ่น Old Trafford โดย Robson ได้สร้างสถิติใหม่ด้วยค่าตัวถึง 1.5 ล้านปอนด์
ไบรอัน ร็อบสัน กัปตันมาเวล การย้ายทีมที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ยูไนเต็ด
Robson เป็นกัปตันที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับทั้งสโมสรและประเทศ โดยนำยูไนเต็ดไปสู่การคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ในปี 1983, 1985 และ 1990 โดยเล่นได้อย่างโดดเด่นในรอบชิงชนะเลิศปี 1983 กับไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน เขายิงได้ 2 ประตูส่งผลให้ทีมชนะไป 4-0 แมตซ์รีเพลย์ (โดยเสมอกันมา 2 -2 ในแมตซ์แรก)
Bryan Robson สวมปลอกแขนกัปตันทีมแมนยู นานถึง 12 ปี และเป็นสถิติของสโมสรที่ยาวนานที่สุดมาถึงทุกวันนี้
ส่วนของทีมชาติ เขาได้ลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ 90 นัด ใน 3 ทัวร์นาเม้นท์ ยิงได้ 26 ประตูในนามทีมชาติ รวมถึงแฮตทริกกับตุรกีในปี 1984 และทำประตูได้ในเวลาเพียง 27 วินาทีกับฝรั่งเศสในฟุตบอลโลกปี 1982 ซึ่งเป็นประตูที่เร็วที่สุดเป็นอันดับสองของรอบสุดท้ายของทัวร์นาเมนต์
Robson เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในการสร้างความยิ่งใหญ่คับเกาะอังกฤษของปีศาจแดง ในช่วงต่อมาของการคุมทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
ยุค ค.ศ. 1986-2013
Sir Alex Ferguson
6 พฤศจิกายน 1986 วันที่รอน แอตกินสันถูกไล่ออก อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (Sir Alexander Chapman Ferguson CBE หรือ Fergie หรือ Alec) และผู้ช่วยของเขา อาร์ชี น็อกซ์ (Archie Knox) เดินทางมาจากอเบอร์ดีน เพื่อรับช่วงต่อในการดูแลสโมสร ซึ่งเขาก็ทำผลงานได้ไม่เลว เมื่อสามารถนำปีศาจแดงจบอันดับที่ 11 ในลีก
แม้ว่าจะไม่ดีพอที่จะทำให้เฟอร์กูสันยึดตำแหน่งผู้จัดการทีมได้อย่างมั่นคง เพราะเขาก็จวนเจียนจะถูกไล่ออกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
แต่ว่าชัยชนะเหนือคริสตัล พาเลซ 1 – 0 ในเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 1990 นัดรีเพลย์ (หลังจากเสมอ 3–3 ในนัดแรก) ก็ช่วยชีวิตเฟอร์กูสันไว้ได้

ฤดูกาลถัดมา 1991 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ (European Cup Winners’ Cup) เป็นครั้งแรก ชัยชนะนั้นทำให้สโมสรได้สิทธิ์ลงแข่งขันใน European Super Cup ได้เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน โดยทีมสามารถเอาชนะ เร้ด สตาร์ เบลเกรด ไปได้ด้วยสกอร์ 1–0 ในรอบชิงชนะเลิศที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ฤดูกาลถัดมา วันที่ 26 พฤศจิกายน 1992 เซอร์อเล็ก ได้ทำการซื้อกองหน้าคนใหม่ เอริค คันโตน่า (Eric Cantona) มาจากลีดส์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ (เพื่อมาแทนกองหน้า Dion Dublin ที่ได้รับบาดเจ็บหนัก และไม่สามารถทำการเซ็นต์สัญญาซื้อตัว Alan Shearer ที่ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับทีม Blackburn Rovers) ซึ่งการย้ายต้วครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งใน การย้ายตัวที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีก เลยทีเดียว

หลังจากนั้นก็เหมือนกับการเปิดประตูสู่ชัยชนะ เมื่อยูไนเต็ดสามารถทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องด้วยการเข้าชิงชนะเลิศ League Cup 2 ปีติดต่อกัน (ปี 1991 และ 1992) และสามารถคว้าแชมป์สำเร็จด้วยการชนะน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ 1-0 ที่สนามเวมบลีย์ ในปี 1992
เซอร์ อเล็ก เฟอร์กุสัน บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ที่โลกยอมรับ
ต่อมา ปี 1993 แมนยูก็สามารถคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1967 และทำดับเบิ้ลแชมป์ได้สำเร็จด้วยการได้แชมป์เอฟเอ คัพ ซึ่งเป็นการทำ ‘ดับเบิ้ลแชมป์’ ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
ยูไนเต็ด สามารถทำดับเบิ้ลแชมป์ได้เป็นครั้งที่สอง ในปี 1995–96
ก่อนที่จะรักษาตำแหน่งแชมป์ลีกอีกครั้ง ในปี 1996–97
Manchester United have lifted the league trophy a record 13 times from 1993 to 2013, and were all won by legendary manager Sir Alex Ferguson.
เอกบุรุษ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
ทริปเปิ้ลแชมป์ แมนยู
ฤดูกาล 1998–99 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลายเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ถือว่าเป็น The Treble ในฤดูกาลเดียวกัน สโมสรกลายเป็นทีมอังกฤษเพียงทีมเดียวที่เคยคว้าแชมป์อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ (Intercontinental Cup) ได้หลังจากเอาชนะพัลไมรัส 1-0 ที่สนามกีฬาแห่งชาติโตเกียว
ก่อนที่เฟอร์กูสันจะได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นเซอร์จากผลงานในด้านฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมของเขา

The Treble Season 1998-1999 | Manchester United
3 เหรียญรางวัล ฤดูกาลทริปเปิ้ลแชมป์ (Premier League, FA Cup และ UEFA Champions League)

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 1999–2000 และ 2000–01 และกลายเป็นสโมสรที่สี่ที่สามารถคว้าแชมป์อังกฤษ 3 สมัยติดต่อกัน
จากนั้นทีมก็ได้อันดับสามในปี 2001–02 ก่อนที่จะได้ตำแหน่งแชมป์อีกครั้งในปี 2002–03
คริสเตียโน โรนัลโด้
ฤดูกาลถัดมา 2003–04 เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน ได้ทำการเซ็นต์สัญญาซื้อนักเตะดาวรุ่งชาวโปรตุกีส วัย 18 ปี คริสเตียโน โรนัลโด (Cristiano Ronaldo) ด้วยค่าตัวสูงถึง 12.24 ล้านปอนด์ ภายหลังจากที่ได้เห็นฟอร์มการเล่นในนัดกระชับมิตรก่อนเริ่มฤดูกาล (ระหว่าง สปอร์ติ้ง ลิสบอน กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งจบลงด้วยสกอร์ เจ้าบ้านชนะ 3 – 1)
เฟอร์กี้ ได้ตัวโรนัลโด้มาเป็นนักเตะแมนยู หลังจากแมตซ์กระชับมิตรนั้น เพียง 1 สัปดาห์ให้หลัง
วันแรกที่โลกได้รู้จักกับโรนัลโด้ กิ๊กส์หัวเราะ โอเชไมเกรนกิน รอยคีนอึ้ง
โรนัลโด้ ได้สวมเสื้อหมายเลข 7 แทนที่ เดวิด เบ็คแฮม หนึ่งในยอดนักเตะขวัญใจแฟนปีศาจแดง ที่อำลาทีมเพื่อไปเป็นนักเตะที่ Real Madrid
สโมสรสามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพในปี 2003–04 โดยเอาชนะมิลวอลล์ 3-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ที่สนาม Millennium Stadium คาร์ดิฟฟ์ ที่นับว่าเป็นการชูถ้วยรางวัลครั้งที่ 11 ที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์
โรนัลโด้ เจ้าของฉายา CR7 เล่นที่โอลด์แทรฟฟอร์ด จนถึงปี 2009 ก็ได้ย้ายไปยังสโมสร Real Madrid ของสเปน และได้กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของโลกลูกหนัง ในระดับเดียวกันกับ ลิโอเนล เมสซี่
(สถิติชองโรนัลโด้ ที่มาดริด – ทำประตู 450 ประตู จากการลงเตะ 438 นัดรวมทุกรายการ เป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของเรอัล มาดริด และช่วยทีมคว้าแชมป์ทุกรายการที่ลงแข่งขันรวมกันได้ถึง 15 โทรฟี่)

“When I arrived at United, I asked for 28 but the coach said, ‘No, you will wear 7.”
Cristiano Ronaldo
ในฤดูกาล 2005–06 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็สะดุดขาของตนเองโดยไม่สามารถผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ
แต่ทีมก็สามารถฟื้นกลับขึ้นมาในการรักษาตำแหน่งที่สองในพรีเมียร์ลีก (ปีนี้ Chelsea ได้แชมป์ลีก) และสามารถคว้าชัยชนะเหนือวีแกน แอธเลติกใน ฟุตบอลลีกคัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 2006
จากนั้น สโมสรก็ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2006–07
และคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2007–08 ด้วยการยิงจุดโทษ 6–5 ประตู เอาชนะเชลซี ที่กรุงมอสโก
Manchester United vs Chelsea 1-1 (Pens 6-5) Highlights & Goals – Final | UCL 2007/2008
ซึ่งในเกมนี้ นักเตะคนสำคัญของสโมสรอย่าง ไรอัน กิ๊กส์ ก็สร้างสถิติลงเล่นให้สโมสรเป็นครั้งที่ 759 ในเกมนั้น (ทำให้มีสถิติแซงหน้าเจ้าของสถิติคนก่อนซึ่งก็คือ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน) ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008
ทำให้สโมสรกลายเป็นทีมอังกฤษทีมแรกที่ชนะฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ และตามมาด้วยฟุตบอลลีกคัพ 2008–09 และแชมป์พรีเมียร์ลีกสามสมัยติดต่อกัน
ปี 2010 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เอาชนะแอสตัน วิลลา 2-1 ที่เวมบลีย์เพื่อรักษาแชมป์ลีก คัพ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทีมประสบความสำเร็จในการป้องกันแชมป์ถ้วยน็อกเอาต์
และจบการแข่งขันในฐานะรองแชมป์ลีก ในฤดูกาล 2009–10 (แชมป์ตกเป็นของเชลซี)
ยูไนเต็ดประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 19 ในปี 2010–2011 โดยรักษาตำแหน่งแชมป์ ด้วยการเสมอกับแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส (Blackburn Rovers) 1-1 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2011
จากความสำเร็จดังที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ทำให้ยุคของเฟอร์กี้ หรือ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กลายเป็นหนึ่งในยุคทองของยูไนเต็ดที่สโมสรสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและเป็นที่จดจำอย่างมากของแฟนบอลทั่วโลก
Class of 92
แมนยู คลาส ออฟ 92 Class of ’92 คือ กลุ่มของนักเตะดาวรุ่ง เด็กหนุ่มนักเตะเยาวชนฝีเท้าเยี่ยม ที่เจริญเติบโตมาจากอคาเดมี่ของทีมแมนยู และได้สร้างปรากฏการณ์ในการคว้าแชมป์และกวาดถ้วยรางวัลต่างๆ มากมายทั้งแชมป์ พรีเมียร์ ลีก, เอฟเอ คัพ, และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
คลาส ออฟ 92 มีใครบ้าง – โดย 6 เด็กหนุ่ม ได้แก่ ไรอัน กิ๊กส์, นิกกี้ บัตต์, เดวิด เบ็คแฮม, แกรี่ เนวิลล์, ฟิล เนวิลล์, และ พอล สโคลส์
โดยมี เอริก แฮร์ริสัน (Eric Harrison) เป็นผู้กุมบังเหียนใหญ่ทีมเยาวชนชุดนี้

“การสอนของ เอริก แฮร์ริสัน จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนเข้าไปร่วมรบในกองทัพเลยล่ะ”
ไรอัน กิ๊กส์
แมนยู คลาส ออฟ 92 – ขอบคุณรูปภาพจาก tallengestore.com
คลาส ออฟ 92 เหล่าเด็กหนุ่ม ที่โลกต้องจดจำ
Class of ’92 กลุ่มเด็กปีศาจ ที่พา แมนยู ยิ่งใหญ่
เบื้องหลัง CLASS OF ‘92 : เอริก แฮร์ริสัน … ชายที่คนทั้งโลกคิดว่าเขาคือ “เฟอร์กี้” | Main Stand
“Eric’s contribution to football and not just at Manchester United was incredible. When I came as manager I was lucky enough to have Eric on the staff as head of youth development.”
Sir Alex Ferguson
อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ เอริก แฮร์ริสัน
เดวิด เบ็คแฮม
เดวิดเบ็คแฮม (David Beckham) เป็นหนึ่งในตำนานนักเตะหมายเลข 7 ของยูไนเต็ด เบ็คแฮมลงเล่นให้ยูไนเต็ดเป็นเวลา 11 ปีเต็ม โดยลงประเดิมสนามครั้งแรกเมื่อ 23 กันยายน 1992
สามารถคว้าแชมป์รายการต่างๆ มากมาย ได้แก่ แชมป์พรีเมียร์ลีก 6 สมัย, ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1 สมัย, ถ้วยเอฟเอ คัพ 2 สมัย
และยังได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยม PFA และทำแอสซิสต์สูงสุดของพรีเมียร์ลีกอีก 3 สมัย
ทำประตูจากลูกฟรีคิกถึง 18 ครั้ง ซึ่งเป้นสถิติสูงสุดถึงปัจจุบัน

ภายใต้สีเสื้อยูไนเต็ด เดวิดเบ็คแฮม ลงสนามทั้งสิ้น 394 ครั้ง และยิงประตูได้ 85 ประตู
David Beckham All 85 Goals For Manchester United
15 กุมภาพันธ์ 2003 หลังแมตซ์เอฟเอ คัพ รอบ 5 ที่แมนยูพ่ายให้กับอริตัวฉกาจ อาร์เซน่อล 0 – 2 ประตู คาถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ทำให้เซอร์อเล็กโมโหเป็นอย่างมาก ที่เบ็คแฮมไม่ทุ่มเทเท่าที่ควร ปล่อยให้โรแบร์ ปิแรส ควบบอลสวนขึ้นไปทางปีกซ้ายได้อย่างง่ายดาย และประกบ ซิลแว็ง วิลตอร์ ได้ไม่ดีพอ ส่งผลให้เสียประตูที่สอง
ในห้องแต่งตัว เซอร์อเล็กและเบ็คแฮม มีปากเสียงกัน กระทั่งเซอร์อเล็กเตะสตั๊ดที่วางอยู่บนพื้น ไปโดนเข้าที่คิ้วซ้ายของเบ็คแฮมอย่างจัง เดือดร้อนถึงรอย คีน และ รุด ฟาน นิสเตลรอย ต้องเข้ามาแยกมวยคู่นี้ออกจากกัน
วันต่อมา เบ็คแฮม ตั้งใจเผยให้นักข่าวเห็นแผลที่คิ้วซ้ายนั้นได้อย่างชัดเจน โดยการรวบผมขึ้น
เซอร์อเล็ก เข้าใจได้เลยว่า วันเวลาของเบ็คแฮมที่โอลด์แทรฟฟอร์ดคงหมดลงแล้ว
17 มิถุนายน 2003 ดีลการย้ายทีมไปมาดริดของเบ็คแฮม ก็สำเร็จ
แฟนผีช็อค เบ๊คเเค่ม ย้ายซบชุดขาว 25 ล้านปอนด์
นักเตะคนสำคัญในยุคนี้
1. Eric Cantona
Eric Daniel Pierre Cantona เอริค คันโตน่า, ก็องโต้ หรือฉายาที่เหล่าสาวกปีศาจแดงตั้งให้ว่า “King Eric” เป็นหนึ่งในนักเตะที่เขียนหน้าประวัติศาสตร์ให้กับทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริง

ภายใต้สีเสื้อยูไนเต็ด ‘เอริค เดอะ คิง’ Eric The King ลงสนามทั้งสิ้น 143 ครั้ง ยิงประตูได้ถึง 64 ประตู และแอสซิสต์ 50 ครั้ง
หยิ่งผยอง จองหอง ไม่ก้มหัวให้ใคร เก่งเหนือชั้น The man who changed Utd’s history
เอริก คันโตน่า นักเตะที่โลกไม่มีอีกแล้ว
ชายผู้จุดประกายความยิ่งใหญ่อย่างที่ยังไม่มีทีมใดทำได้ ตำนานหมายเลข 7 แห่งโรงละครแห่งความฝัน
“If ever there was one player, anywhere in the word, that was made for Manchester United, it was Cantona.”
Sir Alex Ferguson
แม้กระทั่งตำนานหมายเลข 7 รุ่นพี่ อย่าง จอร์จ เบสต์ ก็ยังกล่าวชื่มชมในความสามารถของ คันโตน่า
“I’d give all the champagne I’ve ever drunk to play alongside him in a big European match at Old Trafford.”
George Best

“”We were a professional squad but Eric brought a new professionalism to the club. It was unique. He started training before us and stayed out longer than anyone else. It was a real eye-opener. It had a big effect on us and I also know how much it impacted on the Class of ’92. The likes of David Beckham, Paul Scholes, Nicky Butt and Gary Neville learnt so much from Eric and his professionalism.”
Gary Pallister
“คันโตน่า” ตำนานผู้เปลี่ยนรสชาติพรีเมียร์ลีกให้จี๊ดถึงขีดสุด
2. Roy Keane
รอย คีน นักเตะผู้เป็นตัวอย่างที่ดีของจิตวิญญาณที่แน่วแน่และความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จ อย่างที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ยึดมั่น

Keane เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับ Cobh Ramblers จากนั้นก็ย้ายไปร่วมทีมกับ Nottingham Forest ก่อนที่จะย้ายมาร่วมทีมกับปีศาจแดงด้วยสถิติค่าตัว 3.75 ล้านปอนด์
ในช่วงซัมเมอร์ปี 1993 Keane เริ่มต้นกับยูไนเต็ดได้สวยด้วยการยิง 2 ประตูในเกมแข่งกับ Sheffield United ที่ทีมเอาชนะไปได้ 3-0 จากนั้นก็ทำผลงานได้โดดเด่นเรื่อยมา
Keane เข้ารับตำแหน่งกัปตันทีมยูไนเต็ด ต่อจาก Eric Cantona (ที่ประกาศอำลาสนามอย่างไม่มีวี่แววมาก่อน) ในช่วงเริ่มต้นของฤดูกาล 1997-98
ซึ่งตลอดระยะเวลาในระหว่างที่เป็นกัปตันทีม Keane ถือได้ว่าเป็นผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลและเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเตะรุ่นน้องเป็นจำนวนมาก
รอย คีน มีชื่อติดอยู่ใน 125 นักเตะตลอดกาลของเปเล่ (Pele’s list of the greatest) ด้วย
กัปตันแมนยูเบอร์ 1 ตลอดกาล ”รอย คีน” -ขอบสนามSTORY
วาทะลูกหนังขอเสนอ“กัปตันที่ทุกทีมในโลกอยากมี แด่ตำนานของ รอย คีน”
3. Ryan Giggs
Ryan Joseph Giggs OBE ไรอัน กิ๊กส์ แม้ว่าจะเริ่มต้นอาชีพฟุตบอลกับ Manchester City แต่สโมสรที่ทำให้เขากลายเป็นตำนาน ก็คือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
โดย Giggs เริ่มต้นชีวิตนักเตะผีแดงตั้งแต่อายุ 14 ปี ลงเล่นอาชีพให้สโมสรในปี 1991 และใช้เวลา 23 ปีในทีมชุดใหญ่ของแมนยู

เมื่อเลิกเล่นเขาก็ยังคงวนเวียนอยู่ในถิ่น Old Trafford โดยเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชั่วคราวของสโมสรในปี 2013–14 ภายหลังจากที่ David Moyes ถูกไล่ออก
และรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมภายใต้การเข้ามาของ Louis van Gaal ซึ่ง Giggs เป็นหนึ่งใน 28 ผู้เล่นที่ลงเล่นมากกว่า 1,000 นัด (ตลอดอาชีพการค้าแข้ง) และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดตลอดกาล
ตำนานปีกพ่อมด ไรอัน กิ๊กส์ นำเสนอโดย ตัวเทพฟุตบอล
ภายใต้สีเสื้อยูไนเต็ด ไรอัน กิ๊กส์ ลงสนามทั้งสิ้น 963 ครั้ง ยิงประตูได้ถึง 168 ประตู
Ryan Giggs / All 168 Goals for Manchester United
4. Wayne Rooney
เวย์น รูนี่ย์ นักเตะผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวที่ทำประตูให้ปีศาจแดงได้ถึง 250 ประตู ทำลายสถิติอันยาวนานของ Sir Bobby Charlston

ในเดือนมกราคม 2017 Rooney ถือได้ว่าเป็นผู้ทำประตูสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ของทั้งทีมชาติอังกฤษและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ภายใต้สีเสื้อยูไนเต็ด เวย์น รูนี่ย์ ลงสนามทั้งสิ้น 559 ครั้ง ยิงประตูได้อย่างถล่มถลายถึง 253 ประตู
ตัวเทพฟุตบอล ขอเสนอ เวย์น รูนี่ ปีศาจสุกรโลกันตร์
เหล่านักเตะชุดทริปเปิ้ลแชมป์ ปี 1999 ตอนนี้ทำอะไรกันอยู่ ? l Man U You Nice EP.1
ยุค ค.ศ. 2013 ถึงปัจจุบัน
หลังจากที่เฟอร์กี้ประกาศเกษียณอายุจากตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนยู ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2013 ทำให้หลายคนมองว่าเขาเกษียณจากตำแหน่งผู้จัดการทีมที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล
เข้าสู่ยุคตกต่ำของปีศาจแดงอย่างแท้จริง
เดวิด มอยส์
จากนั้นในวันต่อมา 9 พฤษภาคม 2013 สโมสรก็ได้ประกาศว่า เดวิด มอยส์ (David Moyes) ผู้จัดการทีมเอฟเวอร์ตันจะเข้ามาแทนที่เฟอร์กี้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม โดยเซ็นสัญญาหกปี

แต่เมื่อรับตำแหน่งได้เพียง 10 เดือน มอยส์ก็ถูกไล่ออก (22 เมษายน 2014)
และสโมสรก็เรียก ไรอัน กิ๊กส์ ดาวเตะในตำนานมารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชั่วคราว พร้อมกับการกอบกู้สถานการณ์ของยูไนเต็ด หลังการดูแลของมอยส์ที่ล้มเหลวในการป้องกันตำแหน่งในพรีเมียร์ลีก และไม่อาจผ่านเข้ารอบยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 1995-96
และยังไม่พอแค่นั้น ทีมยังไม่สามารถผ่านเข้ารอบการแข่งขันยูโรปาลีก ซึ่งหมายความว่าเป็นครั้งแรกที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่ผ่านเข้ารอบการแข่งขันฟุตบอลยุโรปตั้งแต่ปี 1990
นับว่าเป็นงานหินของกิ๊กส์ เมื่อต้องก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการสโมสรแม้จะเป็นเพียงชั่วคราวก็ตาม
หลุยส์ ฟาน กัล
วันที่ 19 พฤษภาคม 2014 หลุยส์ ฟาน กัล (Louis van Gaal) ตกลงเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแทนที่มอยส์ โดยมีกิ๊กส์เป็นผู้ช่วย และหลังจากการเข้ามาถึงของเขา ยูไนเต็ดก็สามารถคว้าแชมป์เอฟ เอ คัพสมัยที่ 12 มาครองได้เป็นผลสำเร็จ

แต่หลังจากนั้นทีมก็เข้าสู่ภาวะตกต่ำอย่างน่าผิดหวัง จนทำให้มีข่าวลือว่าผู้บริหารของสโสรได้มองหาผู้จัดการทีมคนใหม่มารับหน้าที่แทน
และในที่สุดฟาน กัลก็ถูกไล่ออก (23 พฤษภาคม 2016)
โชเซ่ มูรินโญ่
ผู้ที่เข้ามาแทนที่ฟาน กัล ก็คือ โชเซ่ มูรินโญ่ (José Mourinho) อดีตผู้จัดการทีมที่ผ่านงานมาอย่างโชกโชน ทั้งการคุมทีมเอฟซี ปอร์โต้, เชลซี, อินเตอร์ มิลาน และเรอัล มาดริด
มูริญโญ่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในวันที่ 27 พฤษภาคม 2016 และมีการเซ็นสัญญาทั้งหมด 3 ปี
ฤดูกาลแรกหลังเข้ามาดูแลยูไนเต็ด มูริญโญ่ พาทีมคว้าแชมป์ UEFA Europa League, EFL Cup และ Community Shield

และในช่วงเวลานี้ เวย์น รูนี่ย์ ทำประตูที่ 250 ให้กับยูไนเต็ด ซึ่งเป็นการตีเสมอในช่วงทดเวลาเจ็บในเกมลีกกับสโต๊ค ซิตี้ ในเดือนมกราคม แซงหน้าเซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตันในฐานะดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร
ในฤดูกาลถัดมา 2017-18 ยูไนเต็ด จบอันดับที่ 2 ในลีก ซึ่งเป็นอันดับสูงสุดของพวกเขานับตั้งแต่ปี 2013 แม้ว่าจะยังตามหลังคู่แข่งอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 19 แต้ม
“If I tell you, for example, that I consider one of the best jobs of my career was to finish second with Man United in the Premier League, you will say, “this guy is crazy”
In 2019 Mourinho said
มูริญโญ่ ตัวปัญหา ที่เห็นปัญหา แมนยู ก่อนใคร | ตัวเทพฟุตบอล
ทีมยังพยายามไปสู่รอบชิงชนะเลิศเอฟ เอ คัพ ครั้งที่ 19 แต่พวกเขาแพ้เชลซี 1-0 และจบฤดูกาลด้วยอันดับ 6 ในตารางพรีเมียร์ลีก ตามหลังจ่าฝูงอย่างลิเวอร์พูล 19 แต้ม และยังขาดอีก 11 แต้มเพื่อไปให้ถึงพื้นที่แชมเปี้ยนส์ลีก
ทำให้มูริญโญ่ถูกไล่ออกก่อนที่จะสิ้นสุดฤดูกาล (18 ธันวาคม 2018)
โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์
สโมสรแต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ (Ole Gunnar Solskjær) มาเป็นผู้จัดการดูแลจนกว่าจะสิ้นสุดฤดูกาล หลังจากที่โซลชาร์สามารถนำทีมชนะ 14 นัดจาก 19 นัดแรกที่คุมทีม
สโมสรก็ตัดสินใจแต่งตั้งเขาเป็นผู้จัดการทีมถาวรในวันที่ 28 มีนาคม 2019 โดยมีระยะเวลาของสัญญา 3 ปี

ผลการแข่งขันในสนามของยูไนเต็ด ภายใต้การนำของโซลชาร์ สามารถคว้าชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกด้วยชัยชนะ 9-0 กับเซาแธมป์ตัน เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2021
แต่ท้ายที่สุดทีมก็จบฤดูกาลด้วยความพ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษ 10 – 11 (หลังเสมอในเวลา 1 -1) โดย David de Gea ยิงจุดโทษพลาด ในศึกยูฟ่า ยูโรปา ลีก (UEFA Europa League) รอบชิงชนะเลิศกับบียาร์เรอัล
ไม่มีถ้วยรางวัลแม้แต่ถ้วยเดียวในฤดูกาลนี้ ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดหนึ่งฤดูกาล นับตั้งแต่สโมสรตกชั้นครั้งล่าสุด ทำให้โซลชาร์ต้องโบกมือลาจากไปในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2021
9 ปี ที่ล้มเหลว หลังหมดยุคเซอร์เฟอร์กี้
หลังจากยุคท่านเซอร์ เฟอร์กี้ อันยิ่งใหญ่เกรียงไกรคับเกาะอังกฤษ กวาดถ้วยแชมป์ลีกได้ถึง 13 ใบ
หลังจากท่านเซอร์อเล็ก วางมือ ทีมปีศาจแดงก็ยังไม่สามารถขึ้นมาเป็นเต้ยบนเกาะอังกฤษได้อีกเลย ไร้ถ้วยแชมป์ลีกมาแล้วถึง 9 ปีติดต่อกัน
European Super League
เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2021 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดประกาศว่าพวกเขากำลังเข้าร่วมกับอีก 11 สโมสรยุโรป ในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้ง ยูโรเปียนซูเปอร์ลีก (European Super League) ซึ่งมีทีมที่ร่วมแข่งขันจำนวน 20 ทีม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแข่งขันกับรายการ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
แต่การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้เกิดแรงต้านอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้สโมสรต้องถอนตัวในอีกสองวันต่อมา และความผิดพลาดของการตัดสินใจนี้ก็นำไปสู่การลาออกของรองประธานบริหาร เอ็ด วู้ดเวิร์ด (Ed Woodward)
“Created by the poor, stolen by the rich”
Manchester United fans
อีกทั้งยังทำให้เกิดการประท้วงที่ทำให้การแข่งขันกับ Liverpool ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2021 ในเกมพรีเมียร์ลีก ต้องถูกเลื่อนออกไป ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ของการแข่งขันที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมา
ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ประวัติศาสตร์โลกลูกหนัง | Main Stand
เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งในการจัดตั้ง European Super League
“Talk of a Super League is a move away from 70 years of European club football. Both as a player for a provincial team Dunfermline in the 60s and as a manager at Aberdeen winning the European Cup Winners’ Cup, for a small provincial club in Scotland it was like climbing Mount Everest. Fans all over love the competition as it is. I’m not sure Manchester United are involved in this, as I am not part of the decision making process.”
Sir Alex Ferguson
โลโก้แมนยู
โลโก้แมนยูทั้งหมด ความเป็นมาของโลโก้สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จากอดีตถึงปัจจุบัน

จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้ เห็นได้ว่าสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นทีมฟุตบอลที่ผ่านประวัติศาสตร์ในวงการฟุตบอลมาอย่างยาวนาน มีทั้งช่วงเวลาที่ยากลำบากและช่วงเวลาที่รุ่งเรือง ก่อนที่จะกลายเป็นสโมสรที่มีความแข็งแกร่งและเป็นที่รู้จักของแฟนบอลทั่วโลกอย่างในทุกวันนี้
ซึ่ง สโมสรแมนยู เองนั้นก็ยังมีความกระหายความสำเร็จและพร้อมที่จะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมต่อไปในอนาคตอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้แฟนบอลทั่วโลกไม่ผิดหวังที่ให้การสนับสนุนทีมเป็นอย่างดีมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดังนั้นเราจึงจะมีโอกาสได้เห็นความสำเร็จของสโสรต่อเนื่องไปในอนาคตอย่างแน่นอน
Glory, glory Man United.